
หลังจากที่เปิดตัว Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 กันมาได้เกือบ 2ปีก็ได้วาระที่จะมีรุ่นใหม่ที่เพิ่มความสามารถให้มากขึ้นเพื่อออกมาแทนตัว เก่าที่ต้องหายไปจากตลาดครับ ซึ่งถ้าเดินตามท้องตลาดของกล้องดิจิตอลจะไม่เห็น Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 อยู่ในท้องตลาดแล้วครับ คือว่าง่ายๆว่าตกรุ่น รุ่นที่มาแทนในรุ่นตระกูลที่กล่าวไปคือ Nikon D5000 ที่ออกมาในลักษณะที่คล้ายตัวเก่าแต่ความสามารถเต็มความหลากหลายของการถ่าย ภาพ และ ล่าสุดทาง Nikon ก็ได้ออก D3000 ที่มีสเป๊คใกล้เคียงกับ D60 แต่เพิ่มรายละเอียดให้มากกว่าครับ
จุดเด่นที่เพิ่มขึ้นของรุ่น Nikon D3000 กับ Nikon D5000 คือ ระบบโฟกัสที่แตกต่างจาก Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 คือ รุ่นใหม่จะมีจุดโฟกัสถึง 11จุด แต่รุ่นตระกูล D40, D40X, D60 จะมีแค่ 3จุด เท่านั้นครับดังนั้นการใช้งานของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 จะสะดวกและรวดเร็วกับการทำงานได้ในระบบกล้องที่เป็นรุ่น Nikon D90 เลยครับ
ความแตกต่างระหว่าง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือลักษณะเด่นของบอร์ดี้ ถ้าเทียบการใช้งานของทั้ง 2รุ่น จะมีลักษณะคล้ายกันในด้าน หน้าและด้านข้างทั้งซ้ายและขวาครับ แต่มาที่ด้านหลังที่เป็นตำแหน่งจอและการทำงานของจอ Nikon D5000 จะทำได้เต็มที่กว่าครับเพราะขนาดจอที่ถึง 2.7นิ้ว และสามารถพับหมุนได้ ทำให้เวลาเราถ่ายภาพมุมสูงหรือต่ำก็สามารถทำงานได้สะดวกและรวดเร็วกว่าครับ สำหรับจอของ Nikon D3000 จะมีขนาดใหญ่กว่าคือ 3นิ้ว แต่ไม่สามารถพับหมุนจอได้ครับ แต่ความละเอียดของหน้าจอจะมีความละเอียดที่ 230,000 พิกเซล เท่ากันครับ
ความละเอียดของพิกเซล แตกต่างกันครับตัว Nikon D3000 จะอยู่ที่ 10.2 ล้านพิกเซล ถ้าเทียบกับพิเซลของ Nikon D60 คือเท่ากันเลยครับ แต่ตัว Nikon D5000 จะมีมากกว่าที่ 12.3 ล้านพิกเซล ถ้าเทียบพิกเซลกันทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 หลักๆจะต่างกันแค่ 2ล้านพิกเซล ครับ ถ้าใช้งานจริงคงไม่เห็นผลมากเท่าที่ควรครับ เพราะถ้าใช้งานโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบันการเลือกพิกเซลคนที่ใช้กล้องดิจิตอลก็ จะเลือกปรับแค่ 3-5 ล้านพิกเซล มากกว่าครับ เพราะถ้าเลือกพิกเซลเยอะจำนวนภาพที่จะถ่ายได้ก็จะลดน้อยลงครับ ดังนั้นถ้าไม่ได้คิดจะอัดใหญ่ขนาดโปรเตอร์ขนาดยักษ์ที่ติดโชว์ตามป้ายโฆษณา คงไม่ต้องเลือกความละเอียดถึง 10ล้านพิกเซล ครับ ดังนั้นจุดตรงนี้คงไม่ใช่ทางเลือกมากครับ
โหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหวหรือถ่ายวีดีโอในระบบ HD และโหมด Liveview ที่สามารถถ่ายภาพและมองที่หน้าจอได้เลยไม่ต้องมองที่ช่องมองภาพ สำหรับฟังก์ชั่นทั้ง 2ตัวนี้จะมีแต่ Nikon D5000 เท่านั้นครับ คือว่าง่ายๆสำหรับคนที่เคยใช้กล้องดิจิตอลคอมแพคหรือกล้องดิจิตอล DSLR Like จะมีความถนัดในการมองที่จอมากกว่าและชอบถ่ายภาพวีดีโอตัว Nikon D5000 น่าจะถูกใจเลยครับ ถ้าบางท่านที่เล่นกล้องฟิล์มมาก่อนก็จะมองว่าความสามารถของโหมดถ่ายภาพ เคลื่อนไหวหรือถ่ายวีดีโอ และโหมด Liveview ไม่จำเป็นเลยครับ เพราะจะคิดว่าเราซื้อมาถ่ายภาพนิ่งไม่ได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวมากกว่าก็จะไม่ เน้นมากครับ แต่ถ้าเป็นมือใหม่มีกล้อง DSLR เป็นตัวแรกก็ มองว่าเป็นฟังก์ชั่นที่เพิ่มการใช้งานได้อย่างครบถ้วนครับ
เซลเซอร์รับภาพของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ใช้เซลเซอร์รับภาพที่แตกต่างครับ โดย Nikon D3000 ใช้เป็น CCD กับ Nikon D5000 ใช้เป็น CMOS ขนาด 23.6 x 15.8mm. เท่ากันครับ ดังนั้นเมื่อสัก 3ปี ที่แล้วเราจะเข้าใจกันว่ากล้องดิจิตอลยังไงก็ต้องใช้ CCD คุณภาพ ภาพถึงจะคมและสีสดกว่า CMOS ที่มีค่าย Canon ผลิตออกมาเป็นเจ้าแรกครับ ดังนั้นวิวัฒนาการเปลี่ยนจะเห็นได้ว่าหลายๆบริษัทชั้นนำผู้ผลิตกล้องดิจิตอล ในปัจจุบันก็หันมาใช้ ระบบ CMOS กันมากขึ้นครับ เพราะราคาต้นทุนและความสามารถในเรื่องการให้สีสันก็ทำได้ดีมากขึ้นครับ กล้องดิจิตอลอย่าง Nikon D90 , Nikon D300 ก็ยังใช้เป็น CMOS ครับ ดังนั้นต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วครับระหว่าง CMOS กับ CCD
อีกจุดหนึ่งที่มีมาตั้งแต่ Nikon D60 จนเชื่อมโยงมาใส่ในกล้องดิจิตอล Nikon D3000 กับ Nikon D5000 คือ ระบบกำจัดฝุ่นในตัวกล้องแบบลมไล่ฝุ่นและแบบสั่นเซ็นเซอร์ และยังสามารถใช้โปรแกรมลบฝุ่นตำแหน่งของฝุ่นที่ติดตรงเซลเซอร์ได้อีกด้วย ครับ
ค่าความเร็วชัตเตอร์ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่นจะมีค่าความเร็วชัตเตอร์ต่ำสุดที่โหมด Bulb จนถึงความเร็วสูงสุดที่ 1/4,000 วินาที ที่ช่วยจับภาพพลุไฟ, เส้นไฟรถ, จนถึงจับวัตถุที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วให้หยุดนิ่งได้ครับ และโหมดการถ่ายภาพสำเร็จรูปยังมีให้เลือกอย่างครบครันครับ
ค่าความไวแสงหรือค่า ISO ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น มีการเลือกที่แตกต่างกันครับ โดยตัว Nikon D3000 จะเริ่มเลือกได้เองตั้งแต่ 100-1600 และสามารถเลือกโหมดที่เพิ่มขึ้นเป็น 3200 ได้ ส่วนตัว Nikon D5000 จะเริ่มเลือกได้เองตั้งแต่ 200-3200 และสามารถเลือกโหมดที่เพิ่มขึ้นเป็น 6400 ซึ่งถ้าเลือกค่าความไวแสงมากเกินไปก็อาจทำให้เกิด Noise ขึ้นได้บางครับ แต่ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ถือเป็นกล้องที่มีระบบกำจัด Noise ได้ ดีครับ ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ในความค่าความไวแสงที่เท่ากันครับ
ไฟล์ในการเลือกใช้งานสามารถเลือกไฟล์ได้ทั้ง Jpeg และ ไฟล์ Raw ครับ และระดับคุณภาพมีให้ปรับได้ถึง 3แบบ ได้แก่ Fine, Normal, Basic สำหรับการเลือกใช้งานของไฟล์ภาพถ้าใช้งานทั่วไปไม่เน้นอะไรมากและไม่ต้องนำ ภาพไปตกแต่งเลือกไฟล์ Jpeg ก็เพียงพอครับ เพราะเวลาเราถ่ายภาพแสงและสีที่เราถ่ายภาพไปก็จะผ่านกระบวนการประมวลผลตัว เซลเซอร์ก่อนได้เป็นภาพออกมาครับ ส่วนไฟล์ Raw จะรับแสงสีทั้งหมดออกมาเป็นภาพเลยครับ ดังนั้นถ้าเน้นงานที่ต้องการไปตกแต่งกับโปรแกรมแต่งภาพหรือเอาไปปริ้นงานที่ ต้องการคุณภาพเลือกไฟล์ Raw ดีกว่าครับ ในส่วน Fine, Normal, Basic การบีบอัดรายละเอียดแนะนำให้เลือก Normal กับ Fine ขึ้นไปครับเพื่อให้ได้คุณภาพที่แท้จริงครับ
โหมด Retouch Menu เป็นโหมดตกแต่งในการถ่ายภาพสามารถตกแต่งภาพในแบบต่างๆ เหมือนนำภาพมาใส่ฟิวเตอร์ในตัวกล้องได้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นฟิวเตอร์สีต่างๆ หรือฟิวเตอร์ทำให้ภาพดูนุ่มนวลก็สามารถทำได้ง่าย โดยไม่ต้องตกแต่งในโฟโต้ช็อปเลยครับ ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ยังคงมีโหมดนี้เหมือนกันครับ
เรื่องเลนส์ยังเป็นจุดที่แตกต่างของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ครับ เพราะปกติกล้องดิจิตอลรุ่นอื่นไม่ว่าสจะเป็นค่ายไหนตัวไหนก็จะสามารถใช้ เลนส์ที่สามารถออโต้โฟกัสได้หมดครับ แต่มาตระกูลที่เป็น Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 และ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ต้องเลือกเลนส์ที่มีมอเตอร์นะครับถึงจะออโต้โฟกัสได้อย่างถ้าเป็นของ Nikon เองต้องมีสัญลักษณ์ AF-S นะครับ และถ้าเป็นค่ายอิสระต้องดูที่สเป๊กหรือข้างกล้องว่ามีมอเตอร์ไหม ถ้าไม่มีก็คงต้องใช้มือหมุนหาโฟกัสเอาครับ เมื่อตอนที่ Nikon D40 ออกมาแรกผมคิดว่าตายละกล้อง DSLR ราคาไม่ถึง 2หมื่น ถูกมากๆแต่เลนส์หายากๆแต่ปัจจุบันผมต้องเปลี่ยนความคิดเลยเพราะเลนส์มีทั้ง ของค่าย Nikon และอิสระ ต่างๆออกช่วงเลนส์มารองรับกับกล้อง Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 และ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 อย่างมากขึ้นและราคาผมก็ยังสู้ไหวบางช่วงก็ไม่ถึงหมื่นคุณภาพดี ถือว่าสมดุลมากขึ้นครับ
สำหรับสื่อที่ใช้ในการบันทึกภาพของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ใช้เป็น SD และ SDHC สามารถใช้ได้สูงถึง 32GB ครับ ราคาการ์ดในตอนนี้ตามท้องตลาดก็ถูกมากและหาได้ง่ายมากครับ
สำหรับแบตเตอรี่ใช้เป็นแบบลิเธี่ยมครับรุ่นเดียวกัน Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ใช้ EN-EL9a (7.2 V, 1080 mAh) ซึ่งจะให้กำลังไฟที่มากกว่าแบตเตอรี่ตัวกล้อง Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 ที่ใช้เป็น EN-EL9 (7.4 V, 1000 mAh) ซึ่งถ้าดู mAh ตัวที่เป็น Nikon D3000 กับ Nikon D5000จะมีมากกว่าครับ ทำให้จำนวนภาพที่ได้ตัว Nikon D3000 กับ Nikon D5000 จะได้มากกว่าอีกนิดครับ อย่างถ้าเราใช้ตัวแบตเตอรี่ที่เป็น EN-EL9 ก็จะได้ประมาณ 300 กว่ารูปครับ แต่ถ้าเป็น EN-EL9a ก็จะได้มากขึ้นเกือบ 400ภาพ ครับ ในปัจจุบันแบตเตอรี่ที่เราจะซื้อไว้สำรองเพื่อไว้อีกก้อนในตอนนี้ถ้าเป็น EN-EL9a ยังไม่มีจำหน่ายครับ ตามท้องตลาดจะมีแค่ EN-EL9 ครับ
ขนาดของกล้องตัว Nikon D5000 จะมีขนาด 127 x 104 x 80 mm. น้ำหนัก 590 g และ Nikon D3000 จะมีขนาด 126 x 97 x 64 mm. น้ำหนัก 536 g แตกต่างกันอยู่บ้างครับ ตัว Nikon D5000จะมีขนาดใหญ่กว่าและน้ำหนักมากกว่า Nikon D3000 อยู่เล็กน้อยครับ แต่ก็ถือเป็นกล้องดิจิตอล DSLR ที่มีขนาดเล็กกระทัดรัดอยู่ครับ
ข้อสรุปหลักๆที่ แตกต่างจริงๆ ของกล้อง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 จริงที่เห็นเพื่อการตัดสินใจเลือกคือ D3000 ถ่ายภาพเคลื่อนไหวไม่ได้, D5000 หน้าจอพับได้, ความละเอียดแตกต่างกัน, D5000 สามารถดูภาพที่จอในขณะถ่ายได้, โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง D5000 ได้ 4เฟรมต่อวินาที D3000 ได้ 3เฟรมต่อวินาที, ขนาดจอที่แตกต่างกันอยู่ และที่สำคัญราคาก็ต่างกันด้วยครับ
ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-nikon-d3000-vs-d5000/