วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

NIKON D60



NIKON เผยโฉมกล้อง รุ่น D60 ที่จะมาทดแทน D50 ได้หลายวันแล้ว และคาดว่าจะวางตลาดในช่วงต้นเดือนมีนาคม
Nikon D60 เป็นกล้อง DSLR หรือกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งทางบริษัทนิคส์ไทยแลนด์ เรียกขานใหม่ว่าเป็น ดีเอสแอลอาร์ คอมแพ็ก เพราะเป็นกล้องดีเอสแอลอาร์ที่เอาคุณสมบัติ ความคล่องตัว และจุดเด่นของกล้องคอมแพ็กติดตัวมาด้วย ความละเอียด 10.2 ล้านพิกเซล ระบบประมวลผลภาพ Nikon EXPEED ให้ไฟล์ภาพนุ่มนวล คมชัด สีสันสมจริงเป็นธรรมชาติ เป็นกล้องที่ขนาดรูปร่างไม่ได้ใหญ่เทอะทะเหมือนที่มือโปรชอบใช้ แต่หาก ได้ลองจับกริป หรือด้ามจับตัวกล้องเพื่อใช้งาน จะรับรู้ได้ถึงความถนัด เหมาะมือ คนอุ้งมือใหญ่อาจไม่เห็นด้วย แต่สำหรับสุภาพสตรีหรือผู้ใช้ทั่วไปจะเป็นความพอดี
ความโดดเด่นของกล้องรุ่นนี้ ที่นิคอนภูมิใจนำเสนอ ในฐานะที่ทำขึ้นเป็นรายแรกของโลก เป็นเทคโนโลยีกำจัดฝุ่นระบบใหม่ ใช้ลมเป่าไล่ฝุ่นที่เซ็นเซอร์รับภาพผ่านช่องลมที่ส่วนล่างของช่อง กระจกสะท้อนภาพ และมีระบบกำจัดฝุ่นแบบสั่นเซ็นเซอร์รับภาพควบคู่ไปด้วย จึงสามารถไล่ฝุ่นที่เกาะเซ็นเซอร์ได้อย่างดีขึ้น ผู้ใช้สามารถกำหนดให้ทำงานอัตโนมัติหรือสั่งให้ทำงานได้ด้วยตนเอง จึงไม่ต้อง ห่วงปัญหาฝุ่นเข้าในตัวกล้องขณะเปลี่ยนเลนส์อีกต่อไป โดยระบบอัตโนมัติกล้องจะทำงานทันทีในเสี้ยววินาทีที่เปิดและปิดกล้อง
ระบบกำจัดฝุ่นสำหรับกล้องดีเอสแอลอาร์ มีทำไว้หลายยี่ห้อ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการสั่นเอาฝุ่นออกเซ็นเซอร์รับภาพ จนกระทั่งนิคอน ออกกล้องโปร รุ่น D300 เป็นรายแรกซึ่งมีกล่องเก็บฝุ่น และใน ดี 60 ก็พัฒนาให้มีระบบเป่า
ในกล้องรุ่นที่ทดสอบ พบว่า ระบบเขย่าเป่าฝุ่นตอนเปิดกล้อง ไม่ทำให้ประสิทธิ ภาพการใช้งานถ่ายภาพลดลง ยังสามารถ เปิดปุ๊บถ่ายปั๊บได้ทันที
คุณสมบัติโดดเด่นอันดับถัดมา เป็น Active D-Lighting ซึ่งเป็น ระบบใหม่ล่าสุดที่มีใน Nikon D60 ที่จะแสดงภาพที่ถ่ายย้อนแสงและที่แก้ไขแล้วให้เห็นทันทีขณะถ่ายภาพ โดยจะคำนวณส่วนสว่างและส่วนมืดของภาพโดยอัตโนมัติช่วยคำนวณค่าการเปิดรับแสง ให้เหมาะสมเพื่อเก็บรายละเอียด และแสงเงาทั้งส่วนมืดและส่วนสว่างของภาพได้อย่างครบถ้วน
ระบบนี้ยกเอามาจากกล้องโปร D3
มีเมนูรีทัช ให้แต่งภาพที่มีตัวเลือกใหม่ ๆ ในการปรับแก้ไขภาพในตัวกล้องอัดไว้มากมาย เช่น Filter Effects ปรับแก้สีภาพ (แดง/เขียว/น้ำเงิน) หรือจะเลือกฟิลเตอร์ Cross Screen สร้างประกายแฉกดาวที่จุดสว่างของภาพ มีเมนูแปลงไฟล์ NEF (RAW) ในตัวกล้อง ให้สามารถกำหนดระดับคุณภาพของภาพ ขนาดภาพ และ White Balance ฟังก์ชัน Stop- motion สร้างภาพ แอนิเมชั่นจากภาพนิ่ง JPEG ที่ถ่ายต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีเมนู Quick Retouch สำหรับปรับแต่งคอนทราสต์ ความอิ่มตัวสี ที่ใช้งานได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
ที่ใช้แล้วสนุกมาก คือฟังก์ชัน Stop motion หรือการสร้างภาพถ่ายให้เป็นภาพเคลื่อนไหวแบบการ์ตูน เช่นถ่ายวัตถุที่ตั้งอยู่เฉย ๆ ให้แสดงเป็นภาพหมุนรอบตัวหรือเคลื่อนไหวได้ เหมาะที่จะนำไปใช้กับการนำเสนองานต่าง ๆ ให้ดูมีลูกเล่นแปลกใหม่ได้อย่างง่าย ๆ
มีระบบพิมพ์วันที่ เวลา และจำนวนนับ ลงบนตัวภาพ ซึ่งเป็นรายแรกในโลกที่มีในกล้องแบบดีเอสแอลอาร์ แต่ที่วิเศษกว่าระบบพิมพ์ภาพที่มีในกล้องคอมแพ็กบางรุ่น ก็ตรงวันที่ที่พิมพ์จะตกลงมาอยู่มุมล่างขวาเสมอ แม้จะยกกล้องตั้งขึ้นทั้งด้านซ้ายและขวา
ยังมีเทคนิคที่เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงถึงความเข้าใจผู้ใช้กล้องอย่างลึกซึ้ง เช่นระบบ rage finder ที่มีลูกศรขนาดเล็กบอกทิศทางและระยะการหมุนเลนส์ระบบแมนนวลเพื่อหาความชัด ได้เร็วขึ้น
กล้องนิคอนดี 60 วางจำหน่ายพร้อมเลนส์ VR ชุดคิด ขนาด 18-55 มม.

Pentax Optio A40


กล้องดิจิทัลคอมแพคท์ รุ่นใหม่ล่าสุดในซีรีส์ A ที่เติมเต็มด้วยความละเอียดที่มากถึง 12 ล้านพิกเซล ซึ่งนับว่าเป็นกล้องที่
ให้ ความละเอียดที่สุดของ Pentaxด้วยเซ็นเซอร์ CCD 1/1.7 นิ้วทำให้มีพื้นที่รับแสงเพิ่มมากขึ้น พร้อม ด้วยเลนส์ SMC ซึ่งเป็นเลนส์เฉพาะของPentax ให้ภาพที่มีคุณภาพและความชัดเจนสูงสุด (Ultra high definitionimages) พร้อมบันทึกภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบไฟล์ AVI (DivX MPEG-4) บันทึกภาพได้ 30 เฟรมใน 1 นาที ที่ขนาด640x480 พิกเซล (คุณภาพทัดเทียมกล้องวิดีโอขนาดเล็ก)

เลนส์ออปติคอลซูม 3 เท่า ดิจิทัลซูม 6 เท่า (สามารถซูมได้สูงสุดถึง 17.9เท่า) ช่วยให้ขยายภาพครอบคลุมพื้นที่ใน การถ่ายภาพเทียบเท่าเลนส์ 37-111 มม.ในเลนส์ขนาด 35 มม. พร้อมโหมดSuper Macro ระยะโฟกัส 6-15 ซม.(ระยะโฟกัสโหมดปกติเริ่มที่ 35 ซม.โหมด Macro Wide อยู่ระหว่าง 12-40ซม.) รูรับแสง f/2.8-5.4

หน้าจอ TFT LCD 2.5 นิ้ว ความละเอียด 232,000 พิกเซล ความคมชัดสูงพร้อมฟังก์ชันปรับความสว่างของหน้าจอ ให้สามารถเห็นได้ง่ายขึ้นในสภาพแสงสว่างมากๆ แสดงรายละเอียดภาพได้ อย่างชัดเจน ให้สีสันที่เหมือนจริง

เติมเต็มด้วยฟังก์ชันเสริมอีกมาก มาย ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน Anti-Shake 3 ระบบ ประกอบด้วย ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Shake Reduction)ระบบพิเศษเฉพาะของ Pentax ด้วย Gyro Sensor ที่มีความแม่นยำสูง เทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้คำนวณการสั่นไหว ในกล้องดิจิทัล SLR เมื่อเกิดการสั่นไหว โดยตรงที่ตัวกล้องขณะถ่ายภาพ CCD จะเคลื่อนที่ขนานไปตามแนวนอนและ แนวตั้ง สัมพันธ์กับระดับการสั่นไหว พร้อมกันนี้เมื่อถ่ายภาพ CCD จะ ประมวลผลมายังจอแสดงภาพ และระบบ จะทำการแก้ไขผลลัพธ์ภาพไปที่ Shutter speeds 2.5 ถึง 3.5 สต็อป (โดยประมาณ)

ระบบ ลดความเบลอของภาพ (Digital Shake Reduction) เป็นระบบ ลดความเบลอของภาพขณะจับภาพ อัตโนมัติ โดยปรับปรุงความไวแสงได้ อัตโนมัติสูงสุดถึง ISO 3200 ให้รูปที่ออก มาสว่างกลมกลืนกันตลอดทั้งภาพ เหมือนจริงเป็นธรรมชาติ ทำให้ภาพที่ ออกมาคมชัด

ระบบป้องกันภาพสั่น ไหวในภาพ เคลื่อนไหว (Movie Shake Reduction) ด้วยระบบ Shake Reduction ที่สามารถ จับภาพเคลื่อนไหวให้นิ่งขึ้นและชัดเจนขึ้น กว่าปกติ แม้ว่ากล้องจะเคลื่อนที่ขณะ ถ่ายภาพ

สำหรับช่างภาพมือใหม่ A40 ตัวนี้มี ระบบโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ Face Recognition AF&AE ติดตั้งมาให้ด้วย
ซึ่งสามารถจับภาพใบหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกล หรืออยู่ส่วนไหนของ ภาพ โดยควบคุมแสงให้ใบหน้าสว่าง
สวย งามยิ่งขึ้น และยังเพิ่มฟังก์ชันใน ระบบโฟกัสใบหน้า คือโหมดสีผิว ธรรมชาติ (Natural Skin Tone) ที่จะ ทำให้สีผิวของคนเป็นธรรมชาติ สมจริงใน ทุกรายละเอียดมากขึ้น และโหมดถ่ายรูป ใกล้ (Half-length Portrait) เพื่อให้เห็น หน้าเต็มรูปอยู่ในกรอบ ให้การถ่ายภาพ กลายเป็นเรื่องง่ายดาย

Olympus E-620


E-620 เป็นกล้องระดับกลางของโอลิมปัส แต่มีฟังก์ชั่นการทำงานใกล้เคียงกับรุ่นโปร ตัวกล้องขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และมีฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ฟังก์ชั่น Art Filters เลือกใช้งานได้ 6 แบบ ทำให้สร้างสรรค์ภาพได้หลากหลาย อาทิ Pop art, Soft focus, Pale & light color, Light tone และ Grainy film เลือกตกแต่งภาพที่สวยงามได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาไปปรับแต่งภาพใน คอมพิวเตอร์อีก ทำให้ใช้งานกล้องได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น

เซ็นเซอร์ภาพที่ใช้เป็นแบบ High-speed Live MOS ฟอร์แมท 4:3 ความละเอียดสูงสุด 12.3 ล้านพิกเซล ประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผล TruePic III บันทึกภาพที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ให้ภาพมีความสว่างสดใสและมีสีสันที่ถูกต้องสวยงาม เก็บได้ครบทุกรายละเอียด โหมดถ่ายภาพมีให้ใช้งานครบครันทั้งโปรแกรมสำเร็จรูป Scene mode และโหมดที่ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนค่าการปรับตั้งต่างๆ ได้ เช่น โหมดโปรแกรม (P) โหมดออโต้ความเร็ว ชัตเตอร์ (A), โหมดออโต้รูรับแสง (S) และโหมดแมนนวล (M)

โหมด Live View ของ E-620 สามารถเลือกปรับออโต้โฟกัสได้ 3 แบบ คือ AF Sensor กล้องจะปิดม่านชัตเตอร์และลดกระจกสะท้อนภาพลง เพื่อปรับโฟกัส แบบที่สองคือ Image Focus กล้องจะโฟกัสโดยการหาคอนทราสต์จากเซ็นเซอร์ภาพ และแบบ Hybrid AF เป็นการรวมเอาการทำงานของการโฟกัสทั้งสองแบบเข้าไว้ด้วยกัน และสามารถปรับซูมภาพเพื่อเช็คความชัดได้ 5 และ 10 เท่า

จุดโฟกัสมี 7 จุด พร้อมจุดโฟกัสแบบกากบาท 5 จุดตรงกลาง ช่วยให้การโฟกัสทำได้ ช่วยให้จับโฟกัสได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น สำหรับความไวแสงปรับได้แบบออโต้ ซึ่งกล้องจะเลือกให้ตามความเหมาะสมของสภาพแสง และปรับตั้งเองตั้งแต่ ISO100-3200 ส่วนไวท์บาลานซ์ปรับได้ทั้งแบบออโต้ ปรับแบบพรีเซ็ท ปรับตามองศาเคลวินได้ตั้งแต่ 2000-14000 องศาเคลวิน และปรับตามสภาพแสงได้ 8 แบบ ซึ่งความพิเศษของโอลิมปัสคือ แต่ละแบบยังสามารถปรับชิฟท์ได้อีก +/-7 ขั้น

Olympus E-620 มีแฟลชป๊อบอัพในตัวไกด์นัมเบอร์ 12 ที่ ISO100 พร้อมโหมดการทำงานหลายอย่าง อาทิ แฟลช Auto แฟลชแก้ตาแดง แฟลชสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์ต่ำและแก้ตาแดงอัตโนมัติ แฟลชสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์ต่ำและม่านชัตเตอร์ชุดแรก แฟลชสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์ต่ำและม่านชัตเตอร์ชุดที่สอง และสามารถปรับชดเชยแสงแฟลชได้ +/- 3EV

จอมอนิเตอร์เป็น แบบ HyperCrystal III TFT LCD มีขนาด 2.7 นิ้ว ปรับหมุนได้รอบเช่นเดียวกับรุ่น E-30 และ E-3 ช่วยเพิ่มความสะดวกในการถ่ายภาพในมุมที่ไม่สามารถเข้าไปยืนถ่ายได้ หรือถ่ายภาพในมุมสูงและมุมต่ำกว่าปกติ E620 จัดเก็บภาพถ่ายด้วยเมมโมรี่การ์ดคือ Compact Flash และ xD Picture Card โดยมีช่องสำหรับใส่เมมโมรี่การ์ดได้พร้อมกันทั้ง 2 ช่อง สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อาทิ แบตเตอรี่กริป HLD-5 สามารถใช้แบตเตอรี่ BLS-1 ได้ 2 ก้อน ช่วยให้ถ่ายภาพแนวตั้งได้สะดวกมากขึ้น และถ่ายภาพได้นานขึ้นด้วย รวมทั้งเฮาส์ซิ่งสำหรับถ่ายภาพใต้น้ำ PT-E06 นอกจากนี้ยังมีแฟลชเฉพาะกิจรุ่นต่างๆ เช่น FL-20, FL-50, FL36, FL-36R และ FL-50R ซึ่งในรุ่น 36R และ 50R รองรับการใช้งานในระบบ wireless ด้วย ตัวกล้องมีขนาด 130 x 94 x 60 มม. น้ำหนัก 475 กรัม

Sony A900


Sony A900 เป็นกล้องในระดับมืออาชีพที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพใหม่แบบ CMOS Exmor ขนาด 35.9 x 24.0 มม. หรือเท่ากับฟิล์ม 35 มม. มีความละเอียดสูงถึง 24.6 ล้านพิกเซล ประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผลภาพใหม่แบบคู่ Dual BIONZ processors ทำให้การทำงานต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 24.6 ล้านพิกเซล ก็ยังถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็วถึง 5 เฟรม/วินาที และยังให้ภาพที่มี Noise ต่ำ แม้ว่าจะใช้ความไวแสงสูง โดยสามารถปรับความไวแสงได้ถึง ISO 6400 ช่วยให้ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องหรือแฟลช

จุดที่โดดเด่นคือ มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot อยู่ในตัวกล้อง ทำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้ต่ำกว่าปกติ 2.5 - 5 สตอป โดยใช้ได้กับเลนส์ทุกตัวไม่ว่าจะเป็นเลนส์ของ Sony, เลนส์ Konica-Minolta หรือเลนส์ Carl Ziess และถึงแม้จะเป็นกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ภาพแบบเต็มเฟรม แต่ยังสามารถใช้งานกับเลนส์ DT ซึ่งเป็นเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้องดิจิตอลที่ใช้ เซ็นเซอร์ภาพแบบ APS-C ได้ โดยความละเอียดสูงสุดจะลดลงเป็น 11 ล้านพิกเซล

A900 สามารถปรับแต่งค่า Dynamic Range Optimizer (DRO) เพื่อเพิ่มความสว่างในส่วนมืด โดยเลือกปรับได้มากถึง 5 ระดับเพื่อให้เหมาะสมกับภาพถ่ายในแต่ละภาพ ทำให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดครบถ้วนทั้งในส่วนสว่างและส่วนมืด การปรับตั้งเมนูการทำงานต่างๆ ของกล้อง สามารถทำได้อย่างสะดวก โดยกล้องจะโชว์รายละเอียดการทำงานต่างๆ ที่จอมอนิเตอร์ ซึ่งเรียกว่า Quick Navi Screen และใช้จอยสติ๊กในการปรับตั้ง ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับตั้งค่าต่างๆ ของกล้องได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น

โหมดถ่ายภาพปรับเลือกได้ ด้วยแป้นหมุน มีเพียงโหมดออโต้ โหมดโปรมแกรม (P) โหมดออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (A) โหมดออโต้รูรับแสง (S) และโหมดแมนนวล (M) เท่านั้น ฟังก์ชั่นใหม่ คือ Intelligent Preview มีมาให้ใช้งานแทน Live View โดยเป็นการพรีวิวภาพที่ต้องการถ่ายและผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนค่าที่ตั้งไว้ เช่น การชดเชยแสง หรือไวท์บาลานซ์ที่ปรับตั้งไว้เดิม และดูผลความเปลี่ยนแปลงได้จากจอมอนิเตอร์ ก่อนที่จะถ่ายภาพจริงๆ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดในการถ่ายภาพลงไปได้ ฟังก์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ Creative styles ซึ่งสามารถปรับแต่งรูปแบบการบันทึกภาพได้มากถึง 13 แบบ เพื่อให้ได้ภาพที่มีโทนสี คอนทราสต์ และความอิ่มตัวของสีที่แตกต่างกัน

บอดี้ของ A900 ทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์ มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงทนทาน ซีลป้องกันความชื้น ป้องกันฝุ่นละออง ทำให้ใช้งานได้ได้ดีทุกสภาวะอากาศ ช่องมองภาพออกแบบใหม่ให้ความสว่างสูง มีอัตราขยาย 0.74 เท่า มองเห็นภาพได้ชัดเจน จัดองค์ประกอบภาพได้สะดวกและง่ายดาย และใช้เลนส์คอนเดนเซอร์ที่มีกำลังขยายสูง เลนส์ตาเคลือบผิวแบบหลายชั้น ช่วยลดแสงสะท้อน และถอดเปลี่ยนจอรับภาพได้เพื่อความเหมาะสมในการใช้งาน

จอมอนิเตอร์ LCD ขนาด 3.0 นิ้วใหม่ ความละเอียด 921,000 พิกเซล มองดูภาพได้อย่างชัดเจนทั้งในที่มืดและสภาพแสงกลางแจ้ง การเชื่อมต่อภายนอก มีช่องต่อ HDMI output ในโหมด Photo TV HD เพื่อเปิดชมภาพจากโทรทัศน์ HD TV ด้วยคุณภาพสูงสุด การจัดเก็บภาพถ่ายออกแบบให้มีช่องเมมโมรี่การ์ด 2 ช่อง สามารถใช้งาน Compact Flash และ Memory Stick Duo ได้พร้อมกัน ตัวกล้องมีขนาด 156.3 x 116.9 x 81.9 มม. น้ำหนัก 850 กรัม

Canon EOS 500D


กล้องดิจิตอล SLR รุ่นล่าสุดจากแคนนอน พัฒนาต่อเนื่องจากรุ่น 450D ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพิ่มความละเอียดให้สูงขึ้นเป็น 15.1 ล้านพิกเซล ประมวลผลการทำงานด้วยหน่วยประมวลผล DIGIC4 ใหม่ มีการทำงานที่รวดเร็วมากขึ้น แสดงสีได้ 14 บิต ทำให้มีช่วงไดนามิกเร้นจ์กว้าง บันทึกรายละเอียดของโทนภาพได้อย่างสมบูรณ์ ให้ภาพที่คมชัด และสมจริง ฟังก์ชั่นที่โดดเด่นคือ บันทึกวิดีโอได้ด้วยคุณภาพ Full HD 1080P และฟังก์ชั่น Live View ที่เพิ่มเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า Face Detection เข้ามานอกเหนือจากฟังก์ชั่น Quick Mode และ Live Mode เดิม

โหมดถ่ายภาพยังมีให้ใช้ งานได้ครบทั้งโหมดออโต้ โปรแกรมสำเร็จรูป โปรแกรม (P) ออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (AV) ออโต้รูรับแสง (TV) และแมนนวล (M) นอกจากนี้ยังมีโหมด Creative Auto หรือ CA ซึ่งสามารถปรับเพิ่มหรือลดแสง เปลี่ยนพิกเจอร์สไตล์ และเปลี่ยนขนาดของภาพได้ ต่างจากโหมดออโต้ทั่วๆ ไป ที่กล้องตั้งให้ทั้งหมด แป้นปรับโหมดถ่ายภาพได้เพิ่มโหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหวเข้ามา ซึ่งสามารถบันทึกได้ด้วยคุณภาพสูงสุดแบบ Full HD และยังลดคุณภาพของไฟล์ได้อีก 2 ขนาดคือ HD และ SD ได้ รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อกับโทรทัศน์ระบบ HDTV ได้ด้วย HDMI เพื่อชมภาพและเสียงได้อย่างสมบูรณ์

Canon EOS 500D ปรับตั้งความไวแสงได้สูงสุด ISO12800 ช่วยให้ถ่ายด้วยแสงธรรมชาติในสภาพแสงน้อย หรือเมื่อต้องการหยุดจังหวะการเคลื่อนไหว จอมอนิเตอร์เป็นแบบ Clear View LCD ขนาด 3 นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 920,000 พิกเซล มองภาพได้ภาพเต็ม100% และมองได้อย่างชัดเจนแม้จากมุมกว้าง 170 องศา ผิวหน้าจอมอนิเตอร์ได้รับการเคลือบแบบหลายชั้น เพื่อป้องกันแสงสะท้อน ช่วยแก้ปัญหาเมื่อต้องถ่ายภาพและดูภาพกลางแจ้งที่มีแสงสว่างมากๆ และป้องกันรอยขีดข่วนต่างๆ ด้วย

ในรุ่นนี้ยังคงใช้ระบบ กำจัดฝุ่นที่เซ็นเซอร์ภาพ ซึ่งเลือกให้ทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อเปิดสวิทช์ หรือเลือกทำความสะอาดด้วยตัวเองได้ ฟังก์ชั่นที่โดดเด่นอื่นๆ เช่น Active Delighting ช่วยชดเชยแสงในส่วนมืดให้ยังคงรายละเอียดที่ครบถ้วน ฟังก์ชั่นปรับแก้ความบิดเบือนของภาพ บันทึกภาพด้วย SD และ SDHC card แหล่งพลังงานได้จาก แบตเตอรี่ Li-Ion LP-E5 สามารถใช้งานร่วมกับแบตเตอรี่กริปรุ่น BP-E5 ซึ่งใส่แบตเตอรี่ได้ 2 ก้อน ช่วยให้ถ่ายภาพได้นานขึ้น ตัวกล้องมีขนาด 129 x 98 x 62 มม. น้ำหนัก 480 กรัม

Nikon COOLPIX P6000


กล้องดิจิตอลคอมแพคระดับไฮเอนด์ พัฒนาต่อจากรุ่น P5100 เดิม เพิ่มความละเอียดเป็น 13.5 ล้านพิกเซล ประมวลผลการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วด้วยหน่วยประมวลผล EXPEED ภาพที่ได้ดูใสเคลียร์ และสีสันที่ถูกต้องตามจริง จุดที่โดดเด่นกว่ากล้องคอมแพคอื่นๆ คือสามารถบันทึกภาพได้ด้วยฟอร์แมท RAW หรือนิคอนเรียกเป็น NRW เหมือนกับกล้อง SLR โดยบันทึกเป็นไฟล์ดิบที่ไม่มีการ Process เหมาะสำหรับช่างภาพมืออาชีพที่ต้องการปรับแต่งหรือแก้ไขค่าการถ่ายภาพบางค่า จากตอนที่ถ่ายภาพในภายหลัง และยังบันทึกเป็นไฟล์ NRW+JPEG ได้ด้วย

โหมดถ่ายภาพควบคุมด้วยแป้นหมุนบนตัวกล้อง ซึ่งใช้งานได้คล่องตัวพอๆ กับกล้องดิจิตอล SLR โดยมีโหมดถ่ายภาพให้ใช้งานครบทุกระดับ เช่น โหมด Program (P) โหมดออโต้รูรับแสง (S) โหมดออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (A) และโหมดแมนนวล (M) นอกจากนี้ยังมีโหมดออโต้และ Scene Mode ที่สามารถเลือกรูปแบบภาพอัตโนมัติได้หลายแบบ อาทิ Portrait Landscape Sport Sunset Close-up หรือ Party เป็นต้น รวมทั้งยังมีฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงามและง่ายมากขึ้น เช่น ฟังก์ชั่น Face-priority AF โดยกล้องจะทำการค้นหาใบหน้าพร้อมกับปรับโฟกัสและคำนวณค่าการรับแสง ช่วยให้ถ่ายภาพบุคคลได้อย่างคมชัดและสวยงาม จุดที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีช่องเชื่อมต่อสาย LAN และมีระบบ GPS ที่สามารถบันทึกพิกัดที่ถ่ายภาพ ทำให้ทราบว่าถ่ายภาพนั้นถ่ายจากที่ใดโดยดูเปรียบเทียบกับพิกัดของแผนที่โลก และยังสามารถส่งภาพโปรดผ่านระบบไร้สายหรือใช้สาย LAN ไปเก็บไว้ยังเว็บไซต์ My Picturetown ให้เพื่อนๆ ได้ชมอย่างง่ายดายและรวดเร็ว แม้จะอยู่กันคนละซีกโลกก็ตาม

ตัวกล้องใช้เลนส์ออพติคอลซูม 4 เท่า ความยาว 28-112 มม. แสดงข้อมูลและภาพด้วยจอมอนิเตอร์ขนาด 2.7 นิ้ว ที่ได้รับการเคลือบผิวช่วยลดแสงสะท้อน ทำให้ดูภาพได้อย่างชัดเจนแม้จะถ่ายภาพอยู่กลางแจ้งก็ตาม โครงสร้างตัวกล้องผลิตจากโลหะแมกนีเซียมอัลลอยด์ ให้ความแข็งแรงทนทานเช่นเดียวกับกล้อง D-SLR ระดับมืออาชีพ การออกแบบยังคงคล้ายๆ กับรุ่น P5100 การจับถือกล้องกระชับมือดีมาก เพราะออกแบบส่วนของกริปให้เป็นร่อง และหุ้มด้วยยางเพื่อกันลื่น ซึ่งไม่เพียงแต่จับได้กระชับมือเท่านั้น การเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพ และการควบคุมการทำงานด้วยแป้น Control Dial ยังทำได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ด้านบนตัวกล้องออกแบบเป็นฮอทชูให้ใช้แฟลชเสริม นอกเหนือจากแฟลชป๊อบอัพได้ ตัวกล้องมีขนาด 107 x 66 x 43 มม. และน้ำหนัก 240 กรัม

Panasonic Lumix DMC-FX48


กล้องคอมแพครุ่นใหม่จากพานาโซนิค ตัวกล้องมีขนาดเล็ก กะทัดรัด และน้ำหนักเบา มีความละเอียดสูงถึง 12.1 ล้านพิกเซล โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นถ่ายภาพอัจฉริยะ ที่พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น ให้ไฟล์ภาพคุณภาพดีเยี่ยม และมีการทำงานที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม 2.4 เท่า จากประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผล Venus Engine V ใหม่ บันทึกภาพด้วยเลนส์คุณภาพสูงระดับโปร LEICA DC VARIO-ELMARIT ทางยาวโฟกัส 25-125 มม.

โหมดถ่ายภาพเลือกใช้งานด้วยแป้นปรับโหมดที่ตัวกล้องเลือกใช้งานในโหมดออโต้ Scene Mode โหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือโหมดอัจฉริยะ iA ที่ผู้ใช้เพียงแค่ยกกล้องขึ้นเล็งแล้วกดชัตเตอร์เท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเลือกใช้งานในโหมด iA หรือ Intelligent Auto ซึ่งโหมดนี้เป็นการผสมผสานโหมดถ่ายภาพที่โดดเด่นแบบต่างๆ 6 แบบเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ระบบโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection AE/AF) ระบบเลือกรูปแบบถ่ายภาพอัตโนมัติ (Scene Detection) ระบบลดการสั่นไหวอัตโนมัติ (Mega O.I.S.) ระบบปรับความไวแสงอัตโนมัติ (Motion Detection) ระบบปรับค่าแสงอัตโนมัติ (Light detection) และระบบใหม่ Subject Detection โฟกัสติดตามการเคลื่อนไหวของซับเจคอัตโนมัติ ทำให้มั่นใจว่าได้ภาพที่คมชัดและสวยงามอย่างง่ายดาย

พานาโซนิค FX48 บันทึกได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว โดยมีขนาดภาพนิ่งใหญ่สุด 4000 x 3000 พิกเซล ปรับลดได้จนถึงขนาดเล็กสุด 640 x 480 พิกเซล พร้อมทั้งบันทึกด้วยขนาดไฟล์ 1920 x 1080 พิกเซล ในฟอร์แมท 16: 9 เพื่อเปิดชมภาพจากโทรทัศน์แบบ HDTV ได้เต็มคุณภาพ ส่วนภาพเคลื่อนไหว บันทึกด้วยความละเอียดแบบ HD ขนาดไฟล์ใหญ่สุด 1280 x 720 พิกเซลที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที และปรับลดจนเหลือขนาดเล็กสุด 320 x 240 พิกเซลที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาทีเช่นเดียวกัน สำหรับการใช้งานบางอย่าง เช่น ในเว็บไซต์ เป็นต้น

พานาโซนิค FX48 ปรับตั้งความไวแสงได้ทั้งแบบออโต้ หรือผู้ใช้ปรับเองตั้งแต่ ISO80-1600 หรือจะปรับเลือกแบบปรับความไวแสงอัจฉริยะ Intelligent ISO กำหนดความไวแสงสูงสุดที่จะให้กล้องปรับให้ที่ ISO400, 800 และ 1600

ตัวบอดี้มีขนาดเล็กมาก ซึ่งข้อดีก็คือไม่เป็นภาระในการพกพา เมื่อเปิดสวิทช์การทำงาน ตัวเลนส์ที่แบ่งเป็นสองชั้นจะยืดออกมา ตัวเลนส์ชิ้นในสุดจะปรับหมุนเมื่อผู้ใช้ปรับซูมภาพ ส่วนตัวเลนส์ชิ้นหน้าจะยืดเข้า ยืดออกตามระยะซูมเท่านั้น และกล้องก็พร้อมใช้งานในทันที

ด้านหลังของตัวกล้องเป็นจอมอนิเตอร์ขนาด 2.5 นิ้ว ความละเอียด 230,000 พิกเซล แบบมุมกว้าง มองเห็นภาพได้เต็ม 100% ปุ่ม Q Menu เป็นคีย์ลัดสำหรับปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานในโหมดถ่ายภาพ โดยเมื่อผู้ใช้กดปุ่มนี้ ข้อมูลการปรับตั้งของเมนูต่างๆ จะขึ้นโชว์ที่จอมอนิเตอร์

เมนูที่น่าสนใจของรุ่นนี้อีกหนึ่งเมนูคือ ระบบจดจำใบหน้า ซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกใบหน้าของบุคคลพิเศษให้กล้องจดจำไว้ และเมื่อมีใบหน้าที่กล้องบันทึกไว้อยู่ในเฟรมภาพ กล้องจะเน้นการปรับโฟกัสและการวัดแสงไปที่ใบหน้านั้นๆ พร้อมกับโชว์ชื่อของเจ้าของใบหน้าให้เห็นที่จอมอนิเตอร์

Sony A380 ตัวกล้องดิจิตอล SLR ใหม่ล่าสุด



โซนี่ เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR ใหม่ ใช้ชื่อรุ่นว่า A380 ตัวกล้องมีความละเอียด 14.2 ล้านพิกเซล ตัวบอดี้ได้รับการออกแบบใหม่ และมีประสิทธิภาพการทำงานที่รองรับการใช้งานตั้งแต่มือสมัครเล่นไปจนถึง ระดับมืออาชีพ โดยมีจุดที่โดดเด่นคือ จอมอนิเตอร์ที่ปรับระดับได้ ช่วยให้ถ่ายภาพในมุมมองที่แตกต่างได้สะดวกมากขึ้น ระบบป้องกันการสั่นไหว SteadyShot ที่ช่วยให้ถ่ายภาพโดยไม่ใช้แฟลชและขาตั้งกล้องที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า ปกติ และฟังก์ชั่น D-Range Optimizer ช่วยเพิ่มรายละเอียดในส่วนมืด ทำให้ภาพมีความสมบูรณ์มากขึ้น
โซนี่ A380 ใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ CCD ขนาด APS-C 23.5 x 15.7 มม. ใช้หน่วยประมวลผล BIONZ ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูง มีการทำงานที่รวดเร็ว และเก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน โหมดถ่ายภาพมีให้เลือกใช้งานได้ครอบคลุมทั้งระดับมือใหม่ เช่น โหมดออโต้ และโหมดโปรแกรมสำเร็จรูป 7 แบบ ซึ่งกล้องจะคำนวณทุกอย่างให้โดยอัตโนมัติ หรือโหมดสำหรับมืออาชีพที่มีความชำนาญในการใช้กล้องมากขึ้น เช่น โหมด Program (P) โหมดออโต้รูรับแสง (S) โหมดออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (A) และโหมดแมนนวล (M)
โหมด Live View ได้รับการพัฒนาระบบโฟกัสให้รวดเร็วด้วยเทคโนโลยี Quick AF Live View ซึ่งผู้ใช้สามารถมองภาพผ่านจอมอนิเตอร์ได้ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีปัญหาช่องมองภาพมืดเมื่อทำการโฟกัสภาพ นอกจากนี้ยังสามารถโฟกัสติดตามวัตถุแบบต่อเนื่องอัตโนมัติได้ตลอด ฟังก์ชั่น D-Range Optimizer ช่วยเพิ่มไดนามิกเรนจ์ของกล้องให้กว้างขึ้น ซึ่งทำให้เก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างครบถ้วน โดยฟังก์ชั่นนี้จะช่วยปรับเพิ่มความสว่างในโทนมืด แต่ยังคงรายละเอียดไว้ ทำให้ได้ภาพที่มีการไล่โทนอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับภาพถ่ายที่มีความเปรียบต่างของภาพมาก
ฟังก์ ชั่นที่โดดเด่นของโซนี่ A380 คือระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot ซึ่งเป็นระบบที่มีใช้งานในกล้องโซนี่ทุกรุ่น ช่วยให้ถ่ายภาพได้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่าปกติ 2.5-4 สตอป โดยระบบ SteadyShot สามารถใช้งานได้กับเลนส์ตระกูล Alpha เลนส์ KonicaMinolta และเลนส์ Carl Zeiss ได้ทุกรุ่น นอกจากนี้ โซนี่ A380 ยังมีโหมดสำหรับสร้างสรรค์ภาพแบบต่างๆ ได้ด้วย Creative Style ซึ่งสามารถปรับแต่งรูปแบบของภาพได้ตามลักษณะของภาพที่ต้องการ เช่น Standard, Vivid, Portrait, Landscape, Night view, Sunset และ Black & White ซึ่งในแต่ละแบบยังสามารถปรับเพิ่มหรือลดคอนทราสต์ ความคมชัด และความอิ่มตัวของสีสันได้อีก +/- 3 ขั้น
ด้านไวท์บาลานซ์สามารถปรับเลือกการทำงานได้แบบออโต้ หรือปรับเลือกตามสภาพแสงได้ 7 แบบ คือ Daylight, Shade, Cloudy, Tungsten, Fluorescent, Flash โดยสามารถปรับแบบละเอียดได้อีก +/-3 ขั้น นอกจากนี้ ยังตั้งแบบ Preset ได้อีก และเมื่อปรับไวท์บาลานซ์ในขณะที่ใช้ Live View กล้องจะพรีวิวภาพให้เห็นผลของการปรับไวท์บาลานซ์แบบต่างๆ และเมื่อปรับวัดแสง Over หรือ Under กล้องก็จะแสดงผลให้เห็น ซึ่งสะดวกในการใช้งานและลดความผิดพลาดลงไปได้มากเช่นกัน

ตัว บอดี้ของโซนี่ A380 ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด กริปมือจับด้านหน้าหุ้มยางกันลื่นและออกแบบให้ยาวนูนออกมาพอสมควร ช่วยให้จับกล้องได้อย่างกระชับมั่นคงขึ้น เหนือกริปขึ้นไปเล็กน้อยเป็นแป้น Control Dial ซึ่งเป็นแป้นหลักสำหรับปรับควบคุมการทำงานของกล้อง และใช้ปรับความเร็วชัตเตอร์หรือรูรับแสง ซึ่งเมื่อถ่ายภาพในโหมดแมนนวล หรือโหมด M การปรับขนาดรูรับแสง จะต้องกดปุ่มชดเชยแสง (+/-) ซึ่งอยู่เยื้องๆ ไฟด้านหลังกล้องค้างไว้ด้วย
บนตัวกล้องติดกับหัวกะโหลก เป็นสวิทช์ปรับเลือกการทำงานระบบ Live view ใกล้ๆ กันเป็นปุ่ม Smart Teleconverter ใช้สำหรับปรับซูมภาพแบบดิจิตอลเมื่อใช้ระบบ Live View ด้านหลังเป็นจอมอนิเตอร์ขนาด 2.7 นิ้ว ที่สามารถปรับ ก้มเงยได้หลายระดับ ซึ่งสะดวกสำหรับการถ่าย ภาพในมุมสูง หรือมุมต่ำ เหนือจอมอนิเตอร์เป็นช่องวิวไฟน์เดอร์แบบ Penta-Dach-Mirror กำลังขยาย 0.74 เท่า มองเห็นภาพได้ 95% พร้อมเซ็นเซอร์ระบบ Eye Start

โซ นี่ A380 ไม่มีจอ LCD สำหรับแสดงข้อมูล จึงใช้การแสดงผลที่จอมอนิเตอร์แทน ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก การแสดงผลมีให้เลือกใช้งานได้ 2 แบบ แบบแท่งกราฟออกแบบให้เข้าใจได้ไม่ยากและใช้งานได้ง่ายๆ เช่น เมื่อเลื่อนแถบไปด้านซ้ายของแท่งกราฟขนาดรูรับแสง ฉากหลังจะเบลอจากขนาดรูรับแสงกว้าง แต่ถ้าเลื่อนมาด้านขวาภาพจะชัดทั้งหมด เป็นต้น
ด้านหลังตัวกล้อง ยังมีที่ใช้ปรับตั้งค่าการทำงานโหมดถ่ายภาพ นั่นคือปุ่มฟังก์ชั่น (Fn) สำหรับเลือกโหมดออโต้โฟกัส, การเลือกพื้นที่โฟกัส, การเลือกระบบวัดแสง, การเลือกใช้งาน D-Range Optimizer, การเลือกไวท์บาลานซ์และ การเลือกรูปแบบ Creative Style โดยเมื่อกดปุ่ม Fn. เมนูการทำงานทั้ง 6 แบบจะโชว์ที่จอมอนิเตอร์ ปรับเลือกเมนูด้วยปุ่ม 4 ทิศทาง เลือกปรับตั้งด้วยปุ่ม AF เลือกค่าที่ต้องการด้วยปุ่มขึ้น-ลง และยืนยันค่าที่เลือกใช้ด้วยปุ่ม AF อีกครั้ง ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้รวดเร็วและสะดวกมากทีเดียว

โซ นี่ A380 เป็นกล้องที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และมีเลนส์ให้เลือกใช้งานมากมาย ทั้ง เลนส์ในตระกูลอัลฟ่า เลนส์ของ KonicaMinolta และเลนส์ Carl Ziess อีกหลายขนาด นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot ในตัว ซึ่งเปิดใช้งานได้ตลอดเวลา ช่วยให้บันทึกภาพด้วยแสงธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้แฟลชได้สะดวกขึ้น อีกหนึ่งในจุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ที่จอมอนิเตอร์ที่สามารถปรับระดับได้ ซึ่งใช้ในการสร้างสรรค์มุมภาพที่แตกต่างจากคนอื่น หรือเมื่อต้องถ่ายภาพในพื้นที่ที่ไม่เอื้ออำนวยกับการถือกล้องถ่ายในสภาพ ปกติได้มากมายทีเดียวครับ นอกจากนี้ระบบ Live View ของโซนี่ A380 ยังสามารถมองภาพได้ตลอดเวลา เพราะใช้เซ็นเซอร์ 2 ตัว แยกการทำงาน จึงสะดวกในการใช้ฟังก์ชั่นนี้กับการถือกล้องถ่ายภาพโดยไม่มีปัญหาเรื่องภาพ มืดไป
ชั่วขณะ เมื่อปรับโฟกัส

โซนี่ A380 มีอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้งานได้หลายอย่างทั้งเลนส์ขนาดต่างๆ และแฟลชเฉพาะกิจหลายรุ่น จึงทำให้เป็นกล้องที่เหมาะสำหรับเลือกใช้งาน ทั้งแบบจริงจัง หรือใช้บันทึกการเดินทางท่องเที่ยว และเหมาะสำหรับการใช้งานในทุกระดับด้วยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Review Fujifilm’s FinePix F70EXR


ต่อยอดความสำเร็จที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายมาจาก Fujifilm’s FinePix F200EXR เพื่อเพิ่มรายสินค้าให้มีให้เลือกมากยิ่งขึ้น สำหรับความสามารถของ CCD EXR จึงได้ออกตัว Fujifilm’s FinePix F70EXR เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้าที่ ต้องการกล้องดิจิตอลคุณภาพดีครับ

จุดขายหลักๆของ Fujifilm’s FinePix F70EXR คือ Super CCD EXR คือ เซ็นเซอร์รับแสงที่มีการจัดเรียงเม็ดสีในรูปแบบใหม่ได้ความสามารถการทำงาน เทียบเท่ากับกล้องระดับโปรเพื่อให้คุณภาพภาพที่ได้คมความชัดสีสันสดสีตรงดัง ตาเห็น มากกว่ากล้องดิจิตอลของค่ายอื่นๆ ซึ่งจะมีอยู่ในกล้องดิจิตอล Fujifilm’s FinePix F200EXR และ Fujifilm’s FinePix S200EXR อีกด้วย

ดังนั้นจากความสำเร็จของค่าย FujiFilm ที่เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีการถ่ายภาพจากกล้อง ดิจิตอลในซีรี่ย์ F ที่ ได้รับรางวัล เช่น FinePix F10, F31fd, F50fd และ F100fd ฉะนั้น Fujifilm’s FinePix F70EXR ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยขุมพลัง และ คุณลักษณะมากมาย ที่คุณมองหาอยู่ หลังจาก FujiFilm เคยออกแบบ CCD เซ็นเซอร์รับแสงในการสร้างชื่อออกมา 3 ชนิดด้วยกันโดยการใส่ในกล้องดิจิตอลแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ 1.HR (Resolution Priority) ที่มีชื่อเรียกกันว่า HR ซึ่งในอดีต CCD ตัวนี้ จะให้ในเรื่องภาพที่มีคุณภาพเรื่องสีสันที่ตรงคมชัดเต็มคุณภาพของพิกเซลเต็ม ความสามารถของกล้องตัว ในโหมดนี้ออกแบบให้ภาพความละเอียดสูงถึง 10 ล้านพิกเซล เก็บทุกรายละเอียดได้ดีที่สุด และเหมาะสำหรับถ่ายภาพในที่มีแสงเพียงพอ ดังนั้นถ้าเลือกโหมด HR ค่าความไวแสง หรือ ISO จะเลือกได้แค่ 100-800

2.SN (High ISO&LOW Noise) ที่มีชื่อเรียกกันว่า SN ซึ่งในอดีต CCD ตัวนี้จะเก่งในเรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อย สามารถใช้ค่าความแสงได้สูง และเกิดน้อยส์ต่ำ (การ ตอบสนองสูง และ สัญญาณรบกวนต่ำ Low noise) โหมดนี้จะทำการรวม 2 พิกเซล เป็น 1 พิกเซล ทำ ให้ได้ภาพขนาด 5 ล้านพิกเซล และ แต่ละพิกเซลที่รวมกันมีขนาดใหญ่พอที่สามารถจับแสงในสภาวะแสงน้อยได้ เป็นอย่างดี ส่งผลให้ได้ภาพที่ค่อนข้างคมชัดสวยงามและมีสัญญาณรบกวน (Noise) ต่ำ ดังนั้นเหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือยามค่ำคืนเพื่อให้ได้คุณภาพ ที่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นถ้าเลือกโหมด SN ก็จะทำให้สามารถเลือกค่าความไวแสงได้ตั้งแต่ 100-1600 หรือ เท่าที่กล้องจะทำได้

3.DR (D-Range Priority) ที่มีชื่อเรียกกันว่า DR ซึ่งในอดีต CCD ตัว นี้จะเก่งในเรื่องการสร้างความแตกต่างของภาพโทนมืดกับโทนสว่างให้แตกต่างกัน ในภาพ (Wide Dynamic Range) โหมดนี้จะถ่ายภาพขนาด 5 ล้านพิกเซล จำนวน 2 ภาพ ที่มีการชดเชยแสงต่างกัน รวมทั้ง 2 ภาพนี้เข้าด้วยกันแล้ว จะได้ภาพที่สามารถเก็บได้ทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นในสภาวะแสงน้อย หรือ แสงมากไปก็ตาม อย่างเช่นถ่ายภาพชุดเจ้าสาว ซึ่งชุดจะเป็นสีขาวทั้งชุดกล้องบางตัวให้รายละเอียดที่กลมกลืนจนไม่เห็นราย ละเอียดของชุดนั้นเห็นแต่สีขาว แต่ DR ตัวนี้ช่วยเลือกให้ภาพของรายละเอียดมีความแตกต่างได้เป็นอย่างดี มีให้เลือกความแตกต่างตั้งแต่ Auto หรือเลือกเองตั้งแต่100%,200%,400%,800% มีผลต่อเมื่อถ้ายิ่งเลือกเยอะก็จะเห็นความแตกต่างยิ่งมากขึ้นของ ค่าโทนเงาสว่างกับเงามืด การเลือกค่าความไวแสงจะกำหนดไว้ที่ 400,800,1600 โดยเราเป็นเราเลือกแล้วเครื่องจะทำการคำนวนมากน้อยให้เองแต่สูงสุดจะอยู่ที่ 400,800 หรือ 1600

นอก จากนั้น เซ็นเซอร์ Super CCD EXR ส่งผลให้กล้องดิจิตอล Fujifilm’s FinePix F70EXR, Fuji F200EXR และ Fuji S200EXR มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น รวมถึง Dynamic Range Bracketing, Dual Image Stabilization, Face Detection 3.0, และ ค่า ISO ที่สูงถึง 12800 และระบบที่ทำให้ได้ภาพที่มีสัญญาณรบกวนต่ำไม่ว่าคุณจะถ่ายภาพที่ไหนหรือ เมื่อไหร่ก็ตาม

ระบบ EXR AUTO กล้องดิจิตอล Fujifilm’s FinePix F70EXR จะวิเคราะห์วัตถุที่จะถ่ายและรูปแบบการถ่าย และจะเลือกโหมดการถ่าย EXR ที่เหมาะสมให้เรา ตัวกล้องจะเชื่อมโหมดการทำงานของเซ็นเซอร์ทั้ง 3 โหมด (ซึ่งเราสามารถเลือกเองได้) เข้ากับระบบการวิเคราะห์รูปแบบการถ่ายภาพแบบอัตโนมัติเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ ดีที่สุด เพื่อความสะดวกในการใช้งานให้ได้คุณภาพตัวกล้องจะทำการด้วย ถ้ามาเลือกใช้งานคนใช้คงต้องมาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้เสียเวลา ตัว Fujifilm’s FinePix จึงคิดถึงความสะดวกและใช้งานได้อย่างง่ายขึ้นจึง พัฒนาเอาเทคโนโลยีของทั้ง 3 ตัวมารวมกันให้เป็น EXR Auto ซึ่งเป็นโหมดที่ใช้ได้ง่ายขึ้นคือโหมดนี้จะเอาเทคโนโลยี SR+EXR มา คำนวนกันจนกลายมาเป็น EXR Auto ที่กล้องจะเลือกให้เอง 2แบบ คือ เลือกฉากถ้าภาพให้อัตโนมัติอย่าง ถ่ายภาพบุคคล ทิวทัศน์ หรือมาโคร กล้องก็จะคำนวนให้และเลือกค่าของ HR ,SN ,DR ให้อีกด้วย

จุดเด่นของ Fujifilm’s FinePix F70EXR คือ เป็นกล้องที่มีขนาดความละเอียด 10ล้าน พิกเซล และ กำลังซูมสูง 10เท่า เทียบเท่ากับ 27-270mm. เป็นกล้องคอมแพคที่มีกำลังซูมมาก ที่มีขนาดบางที่สุดในตอนนี้ หน้าจอ 2.7นิ้ว ความละเอียด 230,000พิกเซล หน้าจอสามารถมองได้ชัดทุกมุมมอง ค่าความไวแสงสามารถเลือกได้ถึง 12800 ในความละเอียด 3ล้านพิกเซล โหมดการถ่ายภาพครบทั้ง Auto , P , A , S , M และสามารถเลือกฟิล์ม ซิมมูเลชั่น ซึงเป็นเทคโนโลยี ฟิล์มถ่ายภาพต่างของฟูจิได้ถึง 5แบบ คือ Provia สีสันภาพปกติ , Velvia สีสันภาพ ที่สดยิ่งขึ้น , Astia สีสันภาพสดนุ่ม , B&W ภาพขาวดำ , Sepia ภาพเก่า ยังมาพร้อมโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง , ระบบวัดแสง , ระบบโฟกัส ได้ ค่าความเร็วชัตเตอร์สูง 8-1/2000 และรูรับกว้าง 3.3-5.6 และระยะมาโครใกล้สุดที่ 5ซ.ม. สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้คุณภาพ 640×480

ระบบการตรวจจับใบหน้า 3.0 การตรวจจับใบหน้าอย่างรวดเร็วได้ 360 องศา ทั้งในระยะและในรูปแบบที่กำหนด ซึ่งมีคุณลักษณะเด่น 3 อย่างดังนี้

1.ตรวจจับใบหน้าได้ถึง 360 องศา สาม รถตรวจจับใบหน้าได้ไม่ว่าคุณจะก้มหรือเงยหน้า หันซ้ายหรือขวา หรือจะเอียงจนถึง 360 องศาก็ตาม เช่นเดียวกันกับการปรับโฟกัส ความสว่าง สมดุลแสงขาวโดยอัตโนมัติ

2.ตรวจจับได้ถึง 10 ใบหน้าไม่ว่าจะเป็นมุมใดๆ ของใบหน้าก็ตาม

3.ตรวจจับใบด้วยความเร็วสูง ใช้เวลาเพียงแค่ 0.036 วินาที ในการจับใบหน้า ฉะนั้นถึงแม้ว่าคุณจะเคลื่อนไหวอยู่ก็

ระบบ Dual IS (Image Stabilization) ป้องกันภาพเบลอ กล้อง ดิจิตอล Fujifilm’s FinePix F70EXR มีความไวสูงในการจับภาพจึงสามารถป้องกันการ เบลอของภาพจากการเคลื่อนไหวได้ และใช้การยกเซ็นเซอร์ CCD เพื่อป้องกันภาพสั่นจากการสั่นของตัวกล้อง มีการป้องกัภาพสั่นนถึง 2 ชั้น (Dual IS) จึงมั่นใจได้ว่าจะได้ภาพถ่ายที่ไม่มีการสั่นหรือเบลออย่างแน่นอน

ฟังก์ชั่นมากมายภายใต้รูปร่างกระทัดรัด กล้อง รูปร่างกระทัดรัดที่เต็มไปด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ มากมายนี้ ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับกับการพกพาในชีวิตประจำวันและถือกล้องในลักษณะต่างๆ ได้อย่างสะดวกสะบาย คุณจะพบประสบการณ์ที่แตกต่างไม่เพียงแค่คุณภาพของภาพถ่ายเท่านั้น คุณยังสามารถสัมผัสถึงความสะดวกสบายในการถ่ายภาพอีกด้วย

Super Intelligent Flash ใหม่ !!! “Super Intelligent Flash” สามารถทำให้การถ่ายภาพแบบมาโครในฝันของคุณเป็นจริงได้ Super Intelligent Flash ถูกรวมอยู่ในโหมดอัตโนมัติแล้ว ระบบนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นก็ได้ เพราะสามารถทำให้ ทั้งวัตถุ แบคกราวน์ สว่าง คมชัดในรายละเอียด เต็มระยะของแฟลช แม้แต่การถ่ายภาพที่ใกล้มากๆ ก็ตาม

จุดที่มีเพิ่มขึ้นในฟังก์ชั่นถ่ายภาพของ Fuji F70EXR และ Fuji S200EXR คือโหมดถ่ายภาพ ที่เรียกว่า Pro Focus โหมดนี้จะช่วยถ่ายภาพให้หน้าชัดหลังเบลอได้เหมือนกล้อง DSLR เลย วิธีเข้า เลือกที่ โหมดถ่ายภาพ SP หลังจากนั้นเข้าไป ยัง โหมด Pro Focus และซูฒให้เกินครึ่งหนึ่ง ฉากหลังควรอยู่ห่างจากวัตถุ และให้แบบอยู่ห่างกับกล้องประมาณ 2.5เมตร ข้อระวังอย่าให้ขึ้นคำว่า Cannot Create Effect ถ้าขึ้นแปลว่าระยะของกล้องกับวัตถุไม่ได้ถ่ายมาก็ไม่เห็นความต่าง โหมดนี้ค่าความไวแสงจะเลือกไม่ได้ ค่าความละเอียดเลือกได้สูงสุด 5ล้านพิกเซล ความเบลอสามารถเลือกได้ 3ระดับ

ฟังก์ชั่นถ่ายภาพของ Fuji F70EXR และ Fuji S200EXR อีกตัวคือโหมด Pro Low-Light เหมาะสำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อย เป็นการถ่าย 4ภาพมาซ้อนกันให้เกิดน้อยส์น้อยที่สุด ข้อระวังห้ามสั่นไหวทั้งแบบและคนถ่ายและวัตถุต้องนิ่งๆ เพราะถ้าไม่นิ่งภาพจะเบลอสั่นทันที โหมดนี้ค่าความไวแสงจะเลือกไม่ได้ ค่าความละเอียดเลือกได้สูงสุด 5ล้านพิกเซล

เมนูฟังก์ชั่นการเลือกจะเป็นแบบใหม่ หน้าเมนูจากเดิมจะกดไปทางซ้ายหรือขวาในส่วนของเมนูหลัก ตัวใหม่จะกดขึ้นลงแล้วค่อยเอียงซ้ายหรือขวาแทน
แบตเตอรี่ใช้เป็นแบบลิเที่ยมรุ่น NP-50 มีขนาด 99 x 59 x 23 mm. และน้ำหนัก 205 g.

มีหน่วยความจำที่สามารถบันทึกภาพในตัวเครื่อง 47MB รองรับการใช้การ์ด SD และ SDHC ซึ่งรองรับสูงสุด 32GB
บทสรุป
กล้องดิจิตอล Fujifilm’s FinePix F70EXR เป็นกล้องที่ได้รับเทคโนโลยี Super CCD EXR ซึ่งประกอบไปด้วย ความละเอียดของภาพ 10 ล้านพิกเซล, Super CCD EXR พร้อมเลนส์มุมกว้าง Fujinon กำลังซูมแบบ optical ถึง 10เท่า และ จอแสดงผลขนาด 2.7 นิ้ว

กล้อง ดิจิตอล Fujifilm’s FinePix F70EXR เป็นกล้องทีมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่สุดของกล้องแบบคอมแพคในขณะนี้ เนื่อง จากมีเว็นเซอร์แบบ Super CCD EXR sensor ตัวใหม่ รวมทั้ง Dynamic Range Bracketing, Dual Image Stabilization, Face Detection 3.0 และ ค่า ISO ที่ สูงถึง 12800 ทำให้ สามารถถ่ายภาพได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ และได้ภาพที่มี สัญญาณรบกวน (Noise) น้อยที่สุดในขณะนี้

ด้วย ระบบ EXR AUTO กล้องดิจิตอล Fujifilm’s FinePix F70EXR สามารถวิเคราะห์ วัตถุ และรูปแบบการถ่าย เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกโหมดการถ่ายที่เหมาะสมที่สุด และ โหมดการทำงานของเซ็นเซอร์ ทั้ง 3 โหมด คือ Fine Capture Technology with High Resolution, Pixel Fusion Technology for High Sensitivity and Low Noise และ Dual Capture Technology for Wide Dynamic Range (ซึ่งคุณสามารถเลือกโหมดการทำงานได้เองอีกด้วย) กล้องเชื่อมระบบการทำงานที่เหมาะสมที่สุดระหว่างโหมดการทำงานของเซ็นเซอร์ ทั้ง 3 โหมด กับ SR Auto Automatic Scene Recognition เพื่อให้ได้ภาพออกมาดีที่สุด

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-fujifilms-finepix-f70exr/

Review Nikon D3000 VS D5000


หลังจากที่เปิดตัว Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 กันมาได้เกือบ 2ปีก็ได้วาระที่จะมีรุ่นใหม่ที่เพิ่มความสามารถให้มากขึ้นเพื่อออกมาแทนตัว เก่าที่ต้องหายไปจากตลาดครับ ซึ่งถ้าเดินตามท้องตลาดของกล้องดิจิตอลจะไม่เห็น Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 อยู่ในท้องตลาดแล้วครับ คือว่าง่ายๆว่าตกรุ่น รุ่นที่มาแทนในรุ่นตระกูลที่กล่าวไปคือ Nikon D5000 ที่ออกมาในลักษณะที่คล้ายตัวเก่าแต่ความสามารถเต็มความหลากหลายของการถ่าย ภาพ และ ล่าสุดทาง Nikon ก็ได้ออก D3000 ที่มีสเป๊คใกล้เคียงกับ D60 แต่เพิ่มรายละเอียดให้มากกว่าครับ

จุดเด่นที่เพิ่มขึ้นของรุ่น Nikon D3000 กับ Nikon D5000 คือ ระบบโฟกัสที่แตกต่างจาก Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 คือ รุ่นใหม่จะมีจุดโฟกัสถึง 11จุด แต่รุ่นตระกูล D40, D40X, D60 จะมีแค่ 3จุด เท่านั้นครับดังนั้นการใช้งานของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 จะสะดวกและรวดเร็วกับการทำงานได้ในระบบกล้องที่เป็นรุ่น Nikon D90 เลยครับ

ความแตกต่างระหว่าง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือลักษณะเด่นของบอร์ดี้ ถ้าเทียบการใช้งานของทั้ง 2รุ่น จะมีลักษณะคล้ายกันในด้าน หน้าและด้านข้างทั้งซ้ายและขวาครับ แต่มาที่ด้านหลังที่เป็นตำแหน่งจอและการทำงานของจอ Nikon D5000 จะทำได้เต็มที่กว่าครับเพราะขนาดจอที่ถึง 2.7นิ้ว และสามารถพับหมุนได้ ทำให้เวลาเราถ่ายภาพมุมสูงหรือต่ำก็สามารถทำงานได้สะดวกและรวดเร็วกว่าครับ สำหรับจอของ Nikon D3000 จะมีขนาดใหญ่กว่าคือ 3นิ้ว แต่ไม่สามารถพับหมุนจอได้ครับ แต่ความละเอียดของหน้าจอจะมีความละเอียดที่ 230,000 พิกเซล เท่ากันครับ

ความละเอียดของพิกเซล แตกต่างกันครับตัว Nikon D3000 จะอยู่ที่ 10.2 ล้านพิกเซล ถ้าเทียบกับพิเซลของ Nikon D60 คือเท่ากันเลยครับ แต่ตัว Nikon D5000 จะมีมากกว่าที่ 12.3 ล้านพิกเซล ถ้าเทียบพิกเซลกันทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 หลักๆจะต่างกันแค่ 2ล้านพิกเซล ครับ ถ้าใช้งานจริงคงไม่เห็นผลมากเท่าที่ควรครับ เพราะถ้าใช้งานโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบันการเลือกพิกเซลคนที่ใช้กล้องดิจิตอลก็ จะเลือกปรับแค่ 3-5 ล้านพิกเซล มากกว่าครับ เพราะถ้าเลือกพิกเซลเยอะจำนวนภาพที่จะถ่ายได้ก็จะลดน้อยลงครับ ดังนั้นถ้าไม่ได้คิดจะอัดใหญ่ขนาดโปรเตอร์ขนาดยักษ์ที่ติดโชว์ตามป้ายโฆษณา คงไม่ต้องเลือกความละเอียดถึง 10ล้านพิกเซล ครับ ดังนั้นจุดตรงนี้คงไม่ใช่ทางเลือกมากครับ

โหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหวหรือถ่ายวีดีโอในระบบ HD และโหมด Liveview ที่สามารถถ่ายภาพและมองที่หน้าจอได้เลยไม่ต้องมองที่ช่องมองภาพ สำหรับฟังก์ชั่นทั้ง 2ตัวนี้จะมีแต่ Nikon D5000 เท่านั้นครับ คือว่าง่ายๆสำหรับคนที่เคยใช้กล้องดิจิตอลคอมแพคหรือกล้องดิจิตอล DSLR Like จะมีความถนัดในการมองที่จอมากกว่าและชอบถ่ายภาพวีดีโอตัว Nikon D5000 น่าจะถูกใจเลยครับ ถ้าบางท่านที่เล่นกล้องฟิล์มมาก่อนก็จะมองว่าความสามารถของโหมดถ่ายภาพ เคลื่อนไหวหรือถ่ายวีดีโอ และโหมด Liveview ไม่จำเป็นเลยครับ เพราะจะคิดว่าเราซื้อมาถ่ายภาพนิ่งไม่ได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวมากกว่าก็จะไม่ เน้นมากครับ แต่ถ้าเป็นมือใหม่มีกล้อง DSLR เป็นตัวแรกก็ มองว่าเป็นฟังก์ชั่นที่เพิ่มการใช้งานได้อย่างครบถ้วนครับ

เซลเซอร์รับภาพของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ใช้เซลเซอร์รับภาพที่แตกต่างครับ โดย Nikon D3000 ใช้เป็น CCD กับ Nikon D5000 ใช้เป็น CMOS ขนาด 23.6 x 15.8mm. เท่ากันครับ ดังนั้นเมื่อสัก 3ปี ที่แล้วเราจะเข้าใจกันว่ากล้องดิจิตอลยังไงก็ต้องใช้ CCD คุณภาพ ภาพถึงจะคมและสีสดกว่า CMOS ที่มีค่าย Canon ผลิตออกมาเป็นเจ้าแรกครับ ดังนั้นวิวัฒนาการเปลี่ยนจะเห็นได้ว่าหลายๆบริษัทชั้นนำผู้ผลิตกล้องดิจิตอล ในปัจจุบันก็หันมาใช้ ระบบ CMOS กันมากขึ้นครับ เพราะราคาต้นทุนและความสามารถในเรื่องการให้สีสันก็ทำได้ดีมากขึ้นครับ กล้องดิจิตอลอย่าง Nikon D90 , Nikon D300 ก็ยังใช้เป็น CMOS ครับ ดังนั้นต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วครับระหว่าง CMOS กับ CCD

อีกจุดหนึ่งที่มีมาตั้งแต่ Nikon D60 จนเชื่อมโยงมาใส่ในกล้องดิจิตอล Nikon D3000 กับ Nikon D5000 คือ ระบบกำจัดฝุ่นในตัวกล้องแบบลมไล่ฝุ่นและแบบสั่นเซ็นเซอร์ และยังสามารถใช้โปรแกรมลบฝุ่นตำแหน่งของฝุ่นที่ติดตรงเซลเซอร์ได้อีกด้วย ครับ

ค่าความเร็วชัตเตอร์ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่นจะมีค่าความเร็วชัตเตอร์ต่ำสุดที่โหมด Bulb จนถึงความเร็วสูงสุดที่ 1/4,000 วินาที ที่ช่วยจับภาพพลุไฟ, เส้นไฟรถ, จนถึงจับวัตถุที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วให้หยุดนิ่งได้ครับ และโหมดการถ่ายภาพสำเร็จรูปยังมีให้เลือกอย่างครบครันครับ

ค่าความไวแสงหรือค่า ISO ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น มีการเลือกที่แตกต่างกันครับ โดยตัว Nikon D3000 จะเริ่มเลือกได้เองตั้งแต่ 100-1600 และสามารถเลือกโหมดที่เพิ่มขึ้นเป็น 3200 ได้ ส่วนตัว Nikon D5000 จะเริ่มเลือกได้เองตั้งแต่ 200-3200 และสามารถเลือกโหมดที่เพิ่มขึ้นเป็น 6400 ซึ่งถ้าเลือกค่าความไวแสงมากเกินไปก็อาจทำให้เกิด Noise ขึ้นได้บางครับ แต่ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ถือเป็นกล้องที่มีระบบกำจัด Noise ได้ ดีครับ ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ในความค่าความไวแสงที่เท่ากันครับ

ไฟล์ในการเลือกใช้งานสามารถเลือกไฟล์ได้ทั้ง Jpeg และ ไฟล์ Raw ครับ และระดับคุณภาพมีให้ปรับได้ถึง 3แบบ ได้แก่ Fine, Normal, Basic สำหรับการเลือกใช้งานของไฟล์ภาพถ้าใช้งานทั่วไปไม่เน้นอะไรมากและไม่ต้องนำ ภาพไปตกแต่งเลือกไฟล์ Jpeg ก็เพียงพอครับ เพราะเวลาเราถ่ายภาพแสงและสีที่เราถ่ายภาพไปก็จะผ่านกระบวนการประมวลผลตัว เซลเซอร์ก่อนได้เป็นภาพออกมาครับ ส่วนไฟล์ Raw จะรับแสงสีทั้งหมดออกมาเป็นภาพเลยครับ ดังนั้นถ้าเน้นงานที่ต้องการไปตกแต่งกับโปรแกรมแต่งภาพหรือเอาไปปริ้นงานที่ ต้องการคุณภาพเลือกไฟล์ Raw ดีกว่าครับ ในส่วน Fine, Normal, Basic การบีบอัดรายละเอียดแนะนำให้เลือก Normal กับ Fine ขึ้นไปครับเพื่อให้ได้คุณภาพที่แท้จริงครับ

โหมด Retouch Menu เป็นโหมดตกแต่งในการถ่ายภาพสามารถตกแต่งภาพในแบบต่างๆ เหมือนนำภาพมาใส่ฟิวเตอร์ในตัวกล้องได้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นฟิวเตอร์สีต่างๆ หรือฟิวเตอร์ทำให้ภาพดูนุ่มนวลก็สามารถทำได้ง่าย โดยไม่ต้องตกแต่งในโฟโต้ช็อปเลยครับ ทั้ง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ยังคงมีโหมดนี้เหมือนกันครับ

เรื่องเลนส์ยังเป็นจุดที่แตกต่างของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ครับ เพราะปกติกล้องดิจิตอลรุ่นอื่นไม่ว่าสจะเป็นค่ายไหนตัวไหนก็จะสามารถใช้ เลนส์ที่สามารถออโต้โฟกัสได้หมดครับ แต่มาตระกูลที่เป็น Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 และ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ต้องเลือกเลนส์ที่มีมอเตอร์นะครับถึงจะออโต้โฟกัสได้อย่างถ้าเป็นของ Nikon เองต้องมีสัญลักษณ์ AF-S นะครับ และถ้าเป็นค่ายอิสระต้องดูที่สเป๊กหรือข้างกล้องว่ามีมอเตอร์ไหม ถ้าไม่มีก็คงต้องใช้มือหมุนหาโฟกัสเอาครับ เมื่อตอนที่ Nikon D40 ออกมาแรกผมคิดว่าตายละกล้อง DSLR ราคาไม่ถึง 2หมื่น ถูกมากๆแต่เลนส์หายากๆแต่ปัจจุบันผมต้องเปลี่ยนความคิดเลยเพราะเลนส์มีทั้ง ของค่าย Nikon และอิสระ ต่างๆออกช่วงเลนส์มารองรับกับกล้อง Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 และ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 อย่างมากขึ้นและราคาผมก็ยังสู้ไหวบางช่วงก็ไม่ถึงหมื่นคุณภาพดี ถือว่าสมดุลมากขึ้นครับ

สำหรับสื่อที่ใช้ในการบันทึกภาพของ Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ใช้เป็น SD และ SDHC สามารถใช้ได้สูงถึง 32GB ครับ ราคาการ์ดในตอนนี้ตามท้องตลาดก็ถูกมากและหาได้ง่ายมากครับ

สำหรับแบตเตอรี่ใช้เป็นแบบลิเธี่ยมครับรุ่นเดียวกัน Nikon D3000 กับ Nikon D5000 ทั้ง 2รุ่น ใช้ EN-EL9a (7.2 V, 1080 mAh) ซึ่งจะให้กำลังไฟที่มากกว่าแบตเตอรี่ตัวกล้อง Nikon ตระกูล D40, D40X, D60 ที่ใช้เป็น EN-EL9 (7.4 V, 1000 mAh) ซึ่งถ้าดู mAh ตัวที่เป็น Nikon D3000 กับ Nikon D5000จะมีมากกว่าครับ ทำให้จำนวนภาพที่ได้ตัว Nikon D3000 กับ Nikon D5000 จะได้มากกว่าอีกนิดครับ อย่างถ้าเราใช้ตัวแบตเตอรี่ที่เป็น EN-EL9 ก็จะได้ประมาณ 300 กว่ารูปครับ แต่ถ้าเป็น EN-EL9a ก็จะได้มากขึ้นเกือบ 400ภาพ ครับ ในปัจจุบันแบตเตอรี่ที่เราจะซื้อไว้สำรองเพื่อไว้อีกก้อนในตอนนี้ถ้าเป็น EN-EL9a ยังไม่มีจำหน่ายครับ ตามท้องตลาดจะมีแค่ EN-EL9 ครับ

ขนาดของกล้องตัว Nikon D5000 จะมีขนาด 127 x 104 x 80 mm. น้ำหนัก 590 g และ Nikon D3000 จะมีขนาด 126 x 97 x 64 mm. น้ำหนัก 536 g แตกต่างกันอยู่บ้างครับ ตัว Nikon D5000จะมีขนาดใหญ่กว่าและน้ำหนักมากกว่า Nikon D3000 อยู่เล็กน้อยครับ แต่ก็ถือเป็นกล้องดิจิตอล DSLR ที่มีขนาดเล็กกระทัดรัดอยู่ครับ

ข้อสรุปหลักๆที่ แตกต่างจริงๆ ของกล้อง Nikon D3000 กับ Nikon D5000 จริงที่เห็นเพื่อการตัดสินใจเลือกคือ D3000 ถ่ายภาพเคลื่อนไหวไม่ได้, D5000 หน้าจอพับได้, ความละเอียดแตกต่างกัน, D5000 สามารถดูภาพที่จอในขณะถ่ายได้, โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง D5000 ได้ 4เฟรมต่อวินาที D3000 ได้ 3เฟรมต่อวินาที, ขนาดจอที่แตกต่างกันอยู่ และที่สำคัญราคาก็ต่างกันด้วยครับ

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-nikon-d3000-vs-d5000/

Review Panasonic FZ38


หลังจากที่ได้รับความนิยมอย่างมากกับ Panasonic FZ28 ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกล้องที่มีคุณภาพใกล้เคียงระดับมืออาชีพ ด้วยเลนส์คุณภาพ Leica จาก เยอรมัน และจุดขายในเรื่องกำลังซูม ที่ถือเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมจำนวนยอดขายในระดับต้นๆ ของตลาดกล้องดิจิตอลเลยครับ

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 52 มีการเปิดตัวกล้องดิจิตอล Panasonic FZ38 ที่เป็นในรูปแบบกล้องดิจิตอล DSLR Like ซึ่งเป็นซีรีย์ที่ต่อยอดมาจาก Panasonic FZ28 ด้วยลักษณะของรูปแบบตัว Body จะมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่เพิ่มความสามารถที่มากขึ้น ด้วยความละเอียด 12.7ล้าน พิกเซล ที่จากเดิมเพียง 10ล้านพิกเซล กำลังซูมด้วยชิ้นเลนส์ 18เท่า (27-486mm.) ให้ภาพได้คมชัดด้วยเลนส์ Leica ครับ พร้อมระบบกันสั่น Mega O.I.S ระยะมาโครที่ช่วยให้คุณถ่ายภาพสินค้าหรือวัตถุระยะใกล้ได้เพียงแค่ 1ซ.ม. เท่านั้น ขนาดของรูรับแสง 2.8- 4.4 สามารถรับแสงได้ดีครับ

ขนาดหน้าจอ 2.7นิ้ว ความละเอียด 230,000 พิกเซลครับ ซึ่งขนาดจอจะเท่ากับตัว Panasonic FZ28 ดีไซน์ปุ่มกดที่ให้คุณใช้งานได้อย่างรวดเร็วในการถ่ายภาพเคลื่อนไหว โดยมีปุ่มสำหรับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องปรับในโหมดของการถ่ายภาพ ความละเอียดในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่เป็นแบบ HD ความละเอียดสูง 1280×720 ให้ความละเอียดเฟรมที่มากกว่า เดิมถึง 30เฟรม/วินาที ให้ความคมชัดที่มากกว่า และคุณภาพในการชมภาพนิ่งให้คุณใช้งานได้ในระบบ miniHDMI

ค่าความไวแสง หรือISO สามารถเลือกได้ 80 ถึง1600 หรือสามารถเลือกได้6400 ในโหมดออโต้โดยเครื่องจะทำการคำนวนในการใช้งานให้เอง จับภาพได้ฉับไวด้วยโหมดการถ่ายภาพต่อเนื่องที่มีให้การใช้ Full-Resolution Image 2.3 ภาพ/วินาที Max. 5 ภาพ (Standard mode), Max 3 ภาพ (Fine Mode)

โหมดถ่ายภาพมีให้เลือกการใช้งานทั้ง Auto และ ปรับได้แบบแมนนวล โดยมีทั้งโหมด Auto, P, M , A, S และ โหมดอัจฉริยะ IA ที่ช่วยให้คุณจับภาพตามสภาวะเหตุการณ์การถ่ายภาพต่างๆได้โดยอัตโนมัติ และระบบถ่ายภาพแบบพาโนราม่า ถ่ายภาพนำมาต่อๆกันได้สนุกยิ่งขึ้นพร้อมระบบโฟกัสใบหน้าที่ช่วยจับใบหน้าถึง 15ใบหน้า รวมไปถึงการตกแต่งภาพได้เลยตัวกล้องให้คุณเพลิดเพลินการการแต่งภาพได้ตามใจ คุณ

ระบบแฟลช Auto, Auto/Red-eye Reduction, Forced On, Slow Sync./Red-eye Reduction, Forced Off ให้เลือกใช้งานได้หลายแบบ ครับ

กล้องดิจิตอล Panasonic FZ38 ยังรองรับสื่อความจำได้ทั้ง SD และ SDHC หน่วยความจำในตัวเครื่องมีให้ 40MB ซึ่งสามารถเก็บภาพได้ในระดับหนึ่ง ตัวกล้องยังสามารถเลือกไฟล์ภาพได้ทั้ง Jpeg และ Raw

ตัวกดล้องใช้เป็นแบตเตอรรี่ลิเธียม ขนาดน้ำหนักตัวกล้องไม่รวมแบต 367กรัม ขนาดตัวกล้อง 118×76x89มม. ครับ

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-panasonic-fz38/

Review Panasonic TZ6 VS Pansonic TZ7


เวลาคุณคิดจะไปเที่ยวที่ใดสักที่หนึ่งไม่ว่าจะเป็นสถานที่ต่างๆ ในโลก ภูเขา ทะเล น้ำตก คุณคิดจะพกพาอะไรไปบ้างในการเดินทางหนึ่งครั้ง เสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว ของใช้ส่วนตัว ที่คุณต้องนำไปอยู่เสมอ และที่สำคัญกล้องถ่ายภาพที่คุณมั่นใจว่าจะเก็บภาพสวยๆ มาเป็นที่ระลึก

แต่ส่วนใหญ่การเดินทางจะติดปัญหาที่เกิดขึ้นคือ สัมภาระหนักกระเป๋า แล้วยังต้องแบกกล้องที่มีขนาดใหญ่ เลนส์ตัวใหญ่ที่จะทำให้สามารถซูมได้ไกลเพื่อเก็บภาพ สำหรับคนที่รักการถ่ายภาพอย่างจริงจัง และต้องการภาพที่เน้นคุณภาพจริงๆ คงไม่เกิดปัญหานี้แน่ครับ แต่มือสมัครเล่นละปัญหานี้จะหมดไปเมื่อคุณลองหากล้องที่มีคุณภาพดีและสามารถ ซูมได้เยอะในตัวเดียวที่จะได้สะดวกกับการเดินทาง
กล้องดิจิตอลที่วันนี้กระผมนำมาให้รู้จักกัน เป็นของค่าย Panasonic ครับ ที่เป็นซีรี่ส์ TZ ที่มีชื่อเสียงในเรื่องขนาดที่เป็นกล้องคอมแพค แต่กำลังซูมสูงถึง 12เท่า เป็นรุ่น Panasonic TZ6 และ Panasonic TZ7 ที่พัฒนามาจากรุ่น Panasonic TZ3 และ Panasonic TZ5

ดังนั้นทั้ง Panasonic TZ6 และ Panasonic TZ7 ได้ออกมาพร้อมกันแต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่ครับ ความละเอียดที่มากขึ้นเป็น 10.1 Megapixel กำลังซูมที่มากขึ้นถึง 12เท่า เมื่อเทียบกำลังซูมเท่ากับกล้อง DSLR คือ 25-300mm. สำหรับคนที่ชอบถ่ายวิว หรือดึงซูมมากๆ ในตัวเดียวสบายมากครับ

ค่าความไวแสงหรือ ISO ที่สูงถึง6400 หรือสามารถเลือกปรับเองได้ถึง1600 ระยะมาโครที่ใช้ในการถ่ายภาพระยะใกล้อย่างภาพดอกไม้ หรือสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพอาหารเป็นที่ระลึกว่าอาหารแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ทั้ง Panasonic TZ6 และ Panasonic TZ7 สามารถเข้าใกล้วัตถุได้ใกล้สุดที่ 3cm. เลยครับ

ระบบกันสั่นที่ขึ้นชื่อของ Panasonic คือ Mega O.I.S กันสั่นโดยชิ้นเลนส์ ไม่ว่ามือคุณสั่น หรือซูมกล้องในระยะไกลก็ช่วยลดการสั่นไหวของภาพได้ดีขึ้นครับ คุณภาพเลนส์คงไม่ต้องพูดถึงมากเลยครับ เพราะติดมากับกล้องดิจิตอล Panasonic ทุกรุ่นเลยครับ นั้นคือเลนส์คุณภาพจาก Leica จากประเทศ เยอรมันครับ ระบบโฟกัสใบหน้าที่สามารถจับใบหน้าได้ถึง 11ใบหน้าเลยครับ

โหมดฟังก์ชั่นในการใช้งานเน้นใช้งานให้ง่ายครับ โดยมีโหมด IA ที่เป็นโหมดอัจฉริยะของ Panasonic ในระบบประมวลผลให้ง่ายต่อการใช้งานตามสภาวะเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะกรณีถ่ายภาพบุคคล ภาพทิวทัศน์ ภาพกลางคืน ถ่ายภาพมาโคร ก็ง่ายเพียงเล็งกล้องไปวัตถุที่คุณต้องการถ่าย กล้องก็จะแสดงสัญลักษณ์เหตุการณ์ต่างๆ ให้คุณทราบ

สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพกระโดด แบบสนุกถึงใจ กระโดดกันเร็วถึงจุดหมายแล้ว หว้าแต่ถ่ายอย่างไรก็ออกมาไม่สวยเดียวขาขาด เหลือครึ่งตัวทำอย่างไรละ มีเทคนิคมาบอกครับ ปรับกล้องให้เป็นโหมดถ่ายภาพต่อเนื่องครับ แล้วกดชัตเตอร์ค้างไหวจนกระโดดกันจนขาลงพื้นแล้วปล่อยมือครับ แล้วมาเลือกภาพที่ถูกใจแค่นี้ก็ได้ภาพกระโดดที่โดนใจแล้วครับ ดังนั้นทั้ง Panasonic TZ6 และ Panasonic TZ7 ช่วยคุณได้ และระบบ Panorama ที่ให้เลือกใช้งานครับ

ฟังก์ชั่นอื่นยังมีให้เลือกในตัวกล้องอีกที่ที่ยกมาเป็นฟังก์ชั่นเด่นๆ ที่มีในตัวกล้องเท่านั้นครับ

สำหรับหน่วยความจำลองรับเป็น SD ที่สามารถใช้งานได้ถึง 32GB แต่ในตัวเครื่องจะมีหน่วยจำให้ 40MB แบตเตอรี่ใช้เป็นแบบลิเธี่ยม

ความแตกต่างของ Panasonic TZ6 และ Panasonic TZ7 ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ขนาดจอที่มีความแตกต่างกัน Panasonic TZ6 จะมีขนาด 2.7นิ้ว ความละเอียด 230,000 pixel สำหรับ Panasonic TZ7 จะมีขนาด 3.0นิ้ว ความละเอียด 460,000 pixel

ความละเอียดสำหรับภาพเคลื่อนไหว Panasonic TZ7 มีความ ละเอียดที่สูง 1280×720 30เฟรมต่อวินาที ถือเป็นระบบ HD สำหรับ Panasonic TZ6 ความละเอียด 848×480 30เฟรมต่อวินาที

ข้อเสียทั้ง 2รุ่นนี้ เท่าที่ทราบมาคือ ไม่สามารถปรับเรื่องความเร็วชัตเตอร์ กับรูรับแสงได้ครับ แต่สามารถปรับค่าชดเชยแสง ค่าแสงสมดุลสีขาวได้ครับ ว่าง่ายๆ การทำงานจะคล้ายกล้องดิจิตอลคอมแพคทั่วไปครับ

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-panasonic-tz6-vs-pansonic-tz7/

Review Canon Ixus95is VS Canon Ixus100is


ซีรี่ย์กล้องดิจิตอลที่วันนี้เราจะมารีวิวกันเป็นกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดของ Canon ในตระกูล IXUS ที่มียอดขายติดอันดับต้นๆ ของกล้องดิจิตอลคอมแพคเลยครับ จากฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เคยสัมผัสกันในรุ่นก่อนๆ และดีไซน์ที่ดูกระทัดรัดแข็งแรง เป็นจุดดึงดูดให้กล้องรุ่นนี้ของแชมป์อยู่ตลาดได้นานนับ 5-6ปี ที่มีกล้องดิจิตอลมา

เมื่อประมาณ 2สัปดาห์ก่อน ผมได้นำข้อมูลทั่วไปของกล้อง Canon Ixus110is และ Canon Ixus990is มาเปรียบเทียบไว้ ซึ่งเท่าที่ดูก็มีผู้ให้ความสนใจอยู่พอควรที่เดียวครับ ใครที่พลาดไปลองไปดูได้ที่ Review Canon Ixus 110 IS vs Canon Ixus 990 IS ส่วนในสัปดาห์นี้จะเป็นอีก 2รุ่นที่ออกมาพร้อมกันคือ Canon Ixus95is VS Canon Ixus100is อย่างที่ผมเคยกล่าวไปในเรื่องชื่อของกล้องดิจิตอลรุ่น IXUS ที่มีชื่อเรียกได้ถึง 3ชื่อ ชื่อเรียกเพิ่มของ Canon Ixus95is , Canon Ixus100is มีดังนี้ครับ ชื่อของ Canon Ixus95is จะมีอีก 2ชื่อ คือ Canon IXY110is และ Canon PowerShot SD1200is ส่วน Canon Ixus100is จะมีอีก 2ชื่อ คือ Canon IXY210is และ Canon PowerShot SD780is (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมความหมายของชื่อ ในบทความ Review Canon Ixus 110 IS vs Canon Ixus 990 IS)
ดีไซน์ของกล้องดิจิตอล Canon Ixus95is , Canon Ixus100is จะมีความแตกต่างอยู่กันบ้างครับ ในเรื่องรูปทรงการดีไซน์ ขนาดของหน้าจอที่มีขนาด 2.5 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอ 230,000 พิกเซล เท่าๆ กัน และการดีไซน์ตำแหน่งของปุ่มกดที่วางในตำแหน่งที่ให้ใช้งานได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสวิทปรับโหมดถ่ายภาพAutoการถ่ายภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ปุ่มดูภาพ ปุ่มโหมดมาโคร ปุ่มโหมดการใช้แฟลช ปุ่มตั้งเวลา ปุ่มลบภาพ ปุ่มเมนู ปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ เป็นการออกแบบถือเป็นเอกลักษณ์ของกล้อง Canon เกือบทุกๆ รุ่น ที่ให้ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้นในการถ่ายภาพ

ขนาดของตัวกล้องของทั้ง 2รุ่น มีขนาดและน้ำหนักที่ต่างกันครับ โดยน้ำหนักของ Canon Ixus95is จะมีน้ำหนักที่ 120 กรัม ส่วน Canon Ixus100is จะมีน้ำหนักที่ 160 กรัม น้ำหนักมีความต่างกันอยู่บ้างครับ ขนาดของรูปร่างเมื่อเปรียบเทียบแล้ว Canon Ixus95is จะมีขนาดใหญ่กว่านิดหน่อยครับ โดยมีขนาด ความยาว 86 x ความกว้าง 55 x ความหนา 22 mm ถ้าเป็น Canon Ixus100is มีขนาด ความยาว 87 x ความกว้าง 56 x ความหนา 18 mm

กล้องรุ่นใหม่ของ Canon จะ ใช้ชิฟประมวลผลที่เป็น Digic IV เกือบทุกรุ่น ผลที่เห็นได้ชัด Canon Digic4 เป็นตัวชิปประมวลผลนวัตกรรมใหม่ล่าสุดถ้าให้ เปรียบเทียบเหมือนมันสมองของกลไกลที่ค่อยควบคุมการทำงานต่างๆ ซึ่งพัฒนาจากเดิมที่เป็นเวอร์ชั่น Canon Digic III ให้ใช้ งานได้อย่างรวดเร็วและหลากหลายมากยิ่งขึ้น
คุณสมบัติเด่น : ประมวลผลได้อย่างรวดเร็วแม้จะเลือกความละเอียดในการถ่ายภาพสูง ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วและต่อเนื่อง

ระบบเทคโนโลยี Face Detection ช่วยให้ถ่ายภาพบุคคลได้สวย คมชัดได้ง่ายยิ่งขึ้น
ช่วยลดสัญญาณรบกวน (Noise) ปัญหาภาพเบลอ เม็ดสีเกรนแตก เมื่อใช้ค่าความไวแสง ISO สูงได้อย่างรวดเร็วภาพต่อภาพ

ความละเอียดของทั้ง 2รุ่น แตกต่างกันครับ โดย Canon Ixus95is จะมีความละเอียด 10ล้านพิกเซล ส่วน Canon Ixus100is จะมีความละเอียดที่ 12.1 ล้านพิกเซล ความละเอียดของภาพนิ่งจะมีความแตกต่างกันครับ โดย Canon Ixus100is จะเป็นระบบแบบ HD ที่มีความละเอียด สูงถึง 1280 x 720 ส่วน Canon Ixus95is จะอยู่ที่ 640 x 480 ในความละเอียดเฟรมการจับภาพที่เท่ากัน 30 เฟรม ต่อวินาที การ ใช้การ์ด SDHC ที่ 4GB ถ้าเลือกความละเอียดที่ 640×480 จะได้ประมาณ 1ชั่วโมง ถ้าเลือกเป็น HD ของ Canon Ixus100is จะได้ที่ 1/2ชั่วโมง (คลิ๊กดูความสำคัญของโหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหว ในบทความ โหมด ภาพเคลื่อนไหว เพิ่มความในใจให้คุณ)

กำลังซูมด้วยชิ้นเลนส์จะเท่ากันที่ 3เท่า เทียบเท่ากับกล้อง DSLR จะมีความต่างของช่วงเลนส์ครับคือถ้าเป็น Canon Ixus95is จะได้ช่วง 35-105 mm. ส่วน Canon Ixus100is จะได้ช่วงเลนส์ 33-100 mm.ถ้าเปรียบกล้อง ดิจิตอลทั้ง 2รุ่น ในช่วงซูมทีเท่ากัน แทบเห็นความต่างน้อยมากครับ ระยะมาโครที่สามารถเข้าใกล้วัตถุได้จะได้ระยะที่ 3ซ.ม.เลยครับทั้ง 2รุ่น

ค่าความไวแสง สำหรับชิฟประมวลผล Canon Digic4 เมื่อคุณใช้ ISO ที่ สูงที่สุดของกล้อง Canon Ixus95is และ Canon Ixus100is จะให้คุณเลือกค่าความไวแสง หรือ ISO ได้สูงสุดถึง1600 ในปัญหาเรื่อง Noise หรือเรียกว่าอีกอย่างว่าสัญญาณรบกวน ที่ทำให้ภาพเบลอเม็ดสีเกรนแตกลดน้อยลงครับ ฟังก์ชั่นโหมดที่เพิ่มขึ้นมาจากกล้องรุ่นก่อนๆ ของ Canon คือ ISO3200 ที่มีในกล้อง IXUS ทั้ง 4รุ่นคือ Canon Ixus95is , Canon Ixus100is , Canon Ixus 110 IS , Canon Ixus 990 IS บางท่านที่มีกล้องอยู่ในมืออาจจะงงครับ ว่า ISO มีให้เลือกแค่ถึง 1600 สำหรับฟังก์ชั่นที่เป็น ISO 3200 ต้องเข้าไปเลือกในฟังก์ชั่นของการถ่ายภาพครับ แล้วเลือกใช้งานได้เลยครับ แต่สำหรับการเลือกโหมดที่เป็น Auto กล้องจะคำนวนค่า ISO สูงสุดที่แค่ 800 เท่านั้นเองครับ

ระบบกันสั่นและระบบโฟกัสใบหน้า เป็นระบบที่กล้องส่วนใหญ่ทุกยี่ห้อจะใส่เข้าไปกับกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น Nikon , Fuji , Sony , Panasonic , Sanyo , Ricoh ก็มีระบบกันสั่นและโฟกัสใบหน้าอยู่ในกล้องด้วยครับ แต่ราคาก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญของฟังก์ชั่นของกล้องเป็นหลักอยู่ เพราะถ้ากล้องที่มีราคาไม่สูงบางค่ายก็จะไม่ใส่ฟังก์ชั่นบางอย่างลงไปใน กล้องดิจิตอลครับ ถ้าเป็น Canon IXUS ทั้ง 4รุ่นคือ Canon Ixus95is , Canon Ixus100is , Canon Ixus 110 IS , Canon Ixus 990 IS มีฟังก์ชั่นในการจับใบหน้าได้ถึง 9ใบหน้าเลยครับ และยังมีฟังก์ชั่นใหม่เพิ่มขึ้นที่เรียกว่า Face Self-Time (นับจำนวนใบหน้าตามที่ต้องการแล้วจึงถ่ายภาพให้) ที่สามารถตั้งเวลาถ่าย 2วินาที หรือ 10วินาที ได้โดยติดกล้องกับขาตั้งกล้อง หรือที่วางที่สามารถวางกล้องได้ (ระวังกล้องตกนะครับ) แล้วเลือกเซ็ทกล้องก่อนถ่ายหลังจากนั้นก็เล็งไปที่ฉากหลังที่เราต้องการถ่าย แล้วค่อยวิ่งเข้าไปที่กล้องได้เลยครับ ถ้าสมมุติว่าคนที่ถ่ายยังวิ่งมาไม่ถึงหน้ากล้อง กล้องก็ยังไม่ถ่ายครับโดยมีเวลาให้ถึง 30วินาทีเลยถึงจะ ถ่ายแต่ถ้าผู้ถ่ายวิ่งมาถึงหน้ากล้องกล้องจะทำการจับเวลาที่ที่ผู้ถ่ายได้ ตั้งไว้แล้วทำการบันทึกภาพครับ ถือเป็นลูกเล่นอัจฉริยะอีกโหมดหนึ่งในกล้องตระกูล IXUS รุ่นใหม่ๆ เลย

ฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเติมช่วยในการถ่ายภาพให้ง่ายขึ้น ของ Canon IXUS ทั้ง 4รุ่นคือ Canon Ixus95is , Canon Ixus100is , Canon Ixus 110 IS , Canon Ixus 990 IS คือโหมดสวิท Auto ที่ช่วยให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายขึ้นคือ โหมดนี้จะคำนวนสถานการณ์ต่างๆ ในการถ่ายภาพให้ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพบุคคล ถ่ายย้อนแสง ถ่ายภาพกลางคืน ถ่ายภาพระยะใกล้ตัวเครื่องก็จะมีสัญลักษณ์แสดงให้เห็นที่หน้าจอมุมขวา ของกล้องรุ่นนั้นให้เห็นถึงการใช้งาน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

ฟังก์ชั่นที่ใช้งานเพิ่มขึ้นจากโหมด Auto คือโหมด SCN (Screen Mode) ที่สามารถเลือกได้เองตามเหตุการณ์การถ่ายภาพต่างๆ อาทิเช่น โหมดถ่ายภาพบุคคล , โหมดถ่ายภาพบุคคลตอนกลางคืน , โหมดถ่ายภาพเด็กและสัตว์เลี้ยง , โหมดถ่ายภาพในร่ม ,โหมดถ่ายภาพยามเย็น ,โหมดถ่ายภาพดอกไม้ไฟ , โหมดถ่ายภาพหาดทรายกับทะเล , โหมดถ่ายภาพใต่น้ำ(ต้องใส่อุปกรณ์ของกล้องสำหรับลงน้ำก่อนนะครับ) , โหมดถ่ายภาพต้นไม้ , โหมดถ่ายภาพหิมะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความ การถ่ายภาพง่ายกับโหมด SCN (Screen mode)

ความแตกต่างระหว่าง Canon Ixus95is และ Canon Ixus100is ที่ได้จับและพบความแตกต่างในเรื่องฟังก์ชั่นโหมดการถ่ายครับ ตัว Canon Ixus95is รายละเอียดความสามารถจะน้อยกว่า Canon Ixus100is ที่มีฟังก์ชั่นในโหมดถ่ายภาพแบบ PANORAMA และ Color swap ฟังก์ชั่นนี้มีไว้สำหรับเปลี่ยนสีของวัตถุ อาทิเช่นถ้าคุณใส่เสื้อสีเหลือง เราก็สามารถสีของเสื้อคุณให้เป็นสีเขียวได้เลย เพียงแค่คุณเลือกสีที่ต้องการเปลี่ยนนำมาเปลี่ยนสีของวัตถุที่เราต้องการจะ เปลี่ยนได้ดั่งใจเลยครับ ว่าง่ายๆ เป็นฟังก์ชั่นที่เป็นจุดขายของค่าย Canon เลยครับ สำหรับการถ่ายภาพที่เหมือนการตกแต่งภาพเลยครับ ฟังก์ชั่นนี้จะให้สนุกกับการถ่ายภาพมากขึ้นครับ การทำงานถ้าเราเลือกใช้จะมีกรอบเล็กอยู่ที่กลางจอภาพ สามารถเลือกการทำงานได้ดั่งใจ
Color Accent ฟังก์ชั่นนี้จะทำให้ภาพคุณเด่นขึ้นมาในทันทีครับ เพราะถ้าเลือกใช้ภาพที่ต้องการถ่ายโดยรอบจะเป็นสีขาวดำหมดแต่จะมีสีที่คุณ เลือกเด่นสง่าเพียงสีเดียวครับ อย่างถ้าถ่ายภาพวัตถุที่เป็นสีฟ้า ภาพทั้งภาพก็จะเป็นสีขาวดำแล้วสีฟ้าที่เราเลือกก็จะเด่นขึ้นมาเพียงสีเดียว ครับ ช่วยให้คุณสร้างสรรค์ภาพใหม่ๆ ได้ถูกใจเลยครับ นี้คือฟังก์ชั่นที่แตกต่างกันสำหรับกล้อง Canon Ixus95is และ Canon Ixus100is

เมื่อเทียบความสามารถของ Canon IXUS ทั้ง 4รุ่นคือ Canon Ixus95is , Canon Ixus100is , Canon Ixus 110 IS , Canon Ixus 990 IS จากที่ได้สัมผัสความสามารถในด้านฟังก์ชั่นไม่ต่างกันมากครับ ความละเอียดพิกเซลมีผลปัจจัยในเรื่องราคาอยู่ครับ ถ้าความละเอียดสูงราคาก็จะสูงขึ้นตามครับถ้าไม่ได้เน้นเรื่องนี้ความสามารถ พอๆกัน ครับ แตกต่างที่รูปทรงและดีไซน์ครับ

ข้อเสียของ IXUS ทั้ง4รุ่นนี้คือ ถ้าเป็นคนที่ชอบปรับกล้องแบบแมนนวลจะมีความรู้สึกว่าปรับอะไรได้น้อย เพราะการปรับเรื่องรูรับแสงหรือความเร็วชัตเตอร์จะทำไม่ได้ แต่สามารถปรับเรื่องชดเชยแสง และ White Balance หรือค่าความสมดุลแสงขาว ได้ครับ และอีกอย่างที่รู้สึกคือกำลังซูมที่น้อยไปสักนิดครับ
พูดได้ง่ายถ้าเป็นกล้องที่ต้องการความรวดเร็ว พกพาได้สะดวก จังหวะการถ่ายที่ต้องการความรวดเร็วในการจับภาพ และตัวกล้องปรับให้เองคำนวนให้ง่ายตัวนี้เป็นทางเลือกที่ดีเลยครับ

อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะฝากไว้เป็นเทคนิคการดูแลเก็บรักษา ในบทความ การเก็บรักษากล้องให้ถูกวิธี จะได้เข้าใจหลักว่าควรดูแลกล้องอย่างไรจะได้ยึดอายุการใช้งานให้เราได้นานๆ ครับ

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-canon-ixus95is-vs-canon-ixus100is/

Review Fuji Z30 และ Fuji Z33 WP


รูปแบบของกล้องดิจิตอลที่มีการพัฒนาเพิ่มลูกเล่นทั้งดีไซน์สีสัน และฟังก์ชั่นให้เข้าอินเทรนทันสมัยได้ทุกยุคทุกวัย Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 กล้องที่เพิ่มความสุขความสนุกในการถ่ายภาพให้สีสันในชีวิตได้สดชื่นเบิกบาน ทุกการท่องเที่ยวของคุณ สำหรับผู้ที่ชอบพกพากล้องไปได้ทุกที่ เพียงขนาดของกล้องมีขนาดที่เท่าๆกับมือถือสักเครื่องที่พร้อมไปกับคุณได้ทุก ที่ท่องไปบนโลกอันแสนกว้างใหญ่ การออกแบบบอกได้คำเดียวครับ ว่าลงตัวและเป็นกล้องที่น่าใช้เลยครับ หน้าตาของกล้องอาจจะเหมือนเกมส์กดสักหน่อย แต่ประสิทธิภาพถือว่าครบและใช้งานง่ายครับ
ความแตกต่าง Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 ที่ได้สัมผัสมาครั้งแรกที่ได้พบคือหน้าตาด้านหน้าตัวกล้องจะแตกต่างกันสิ้น เชิงเลยครับ เพราะ Fuji Z30 จะสามารถเลื่อนฝาปิดเลนส์ได้ครับ แต่ Fuji Z33 จะเห็นหน้าเลนส์ที่ชัดเจนเลยครับ สำหรับด้านข้างและด้านหลังปุ่มกดใดๆ ก็จะวางรายละเอียดเหมือนกันทุกตำแหน่งเลยครับ ขนาดของตัวกล้องกับน้ำหนักก็พอๆ กันครับแตกต่างกันนิดหน่อยครับ

ความละเอียดทั้ง Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 จะมีความละเอียด 10 ล้านเมกะพิกเซลที่เท่ากัน การทำงานในเรื่องฟังก์ชั่นต่างๆ มีให้คุณเลือกใช้ได้ง่ายยิ่งขึ้น SCENE RECOGNITION ระบบถ่ายภาพที่เพียงเล็งกล้องไปยังจุดที่ต้องการถ่ายภาพกล้องจะทำการ วิเคราะห์ลักษณะภาพอัตโนมัติ และเลือกการปรับตั้งที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ต่างๆให้โดยกล้องจะการแสดง สัญลักษณ์ของระบบที่เลือกขึ้นที่ด้านซ้ายมือของจอ ระบบที่สามารถเลือกให้ไม่ว่าจะเป็นระบบ PORTRAIT , LANDSCAPE , NIGHT , MACRO , BACKLIGHT PORTRAIT , NIGHT PORTRAIT ก็กล้องสามารถเลือกให้ตามสถานการณ์ได้เลยครับ

สำหรับโหมด SCN หรือเรียกกันว่าโหมด Scene ก็สามารถใช้งานได้หลากหลายเหตุการณ์เหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเป็น Portrait , Landscape , Sport , Night , Night (Tripod) , Sunset , Snow , Beach , Museum , Party , Flower , Text , Anti-Blur (Picture Stabilization) , Successive Movie สามารถเลือกได้ตามเหตุการณ์ต่างเลยครับ (สามารถดูความหมายต่างๆ จากบทความ การ ถ่ายภาพง่ายกับโหมด SCN (Screen mode)
ระบบถ่ายภาพต่างๆที่ Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 คือ โหมด Auto , M (Manual) ที่สามารถปรับค่าชดเชยแสง ค่าไวท์บาลานช์ และระบบหาความชัด แต่ไม่สามารถปรับเรื่องความเร็วชัตเตอร์กับรูรับแสงได้ , SCENE RECOGNITION , Natural light ระบบนี้เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่ร่ม หรือในห้อง หรือในที่ห้ามใช้แฟลช , Underwater ให้ภาพที่สดใสเมื่อถ่ายภาพใต้น้ำ , Auction Mode โหมดนี้ถือเป็นฟังก์ชั่นพิเศษของฟูจิครับ เพราะสามารถเลือกระบบนี้เพื่อทำการรวมภาพที่ถ่ายไว้ใน 1 รูปภาพ โดยสามารถรวมได้สูงสุด 4 ภาพ ในขนาดภาพ 640×480 พิกเซล

เรื่องการเลือกสีสันในการถ่ายภาพ ของ Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 ที่สามารถเลือกสีก่อนการถ่ายภาพได้ในระบบฟังก์ชั่น FINEPIX COLOR ใช้เมนูนี้เพื่อกำหนดโทนสีของภาพให้สดขึ้นหรือเป็นขาวดำก็ได้ การเลือกจะมีให้เลือกอยู่ 3 แบบครับ คือ F-STANDARD ให้ภาพที่คอนทราสต์และความอิ่มตัวของสีอยู่ในระดับปกติ เลือกใช้สำหรับถ่ายภาพทั่วไป

F-CHROME ให้ภาพที่คอนทราสต์สูงและสีสันมีความอิ่มตัวสูงขึ้น เลือกใช้รูปแบบนี้เพื่อให้ได้ภาพที่มีสีสดใส เช่นภาพทิวทัศน์ (ท้องฟ้าหรือป่าสีเขียว) และดอกไม้ สามารถเลือกใช้งานได้ในระบบถ่ายภาพ ต่างๆ ได้

F-B&W ให้ภาพที่บันทึกเป็นในโทนภาพขาวดำ

ในเรื่องของฟังก์ชั่นของการถ่ายภาพ Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 จะแยกกันไม่ออกเลยครับ เพราะฟังก์ชั่นการถ่ายภาพทั้ง 2 รุ่นเหมือนๆ กันอย่างสิ้นเชิงครับ แต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้น ของ Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 คือ Fuji WP Z33 สามารถลงน้ำได้ถึง 3 เมตร ซึ่งเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจในราคาที่ไม่แพงมากนัก แต่ Fuji Z30 ไม่สามารถโดน/ลงน้ำได้ครับ

สำหรับจำนวนภาพที่ถ่ายได้กับความจุหน่วยความจำ SD/SDHC ที่สามารถใช้ได้กับกล้อง Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 ถ้าเลือกใช้การ์ด 2GB เลือกความละเอียดสูงสุดจะได้จำนวนภาพที่ 400 ภาพ และ การ์ด 4GB จะได้ภาพที่ 800 ภาพ ส่วนถ้าใช้การ์ด 8 GB จะได้สูงถึง 1,610 ภาพเลยครับ แต่ถ้าลดความละเอียดลงก็สามารถได้จำนวนภาพที่มากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเลือกสัก 5 Megapixel ใช้การ์ดที่ 2 GB ได้ถึง 1,550 ภาพ และการ์ด 4GB ได้จำนวนภาพ 3,100 ภาพ และการ์ด 8 GB ได้สูงถึง 6,220 ภาพเลยครับ ซึ่งถือว่าจุภาพนิ่งได้เยอะมาก ถ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที แนะนำว่าแบ่งมาเก็บภาพเคลื่อนไหวบ้างครับได้อารมณ์อีกแบบ ซึ่งหลายคนมักลืมภาพเคลื่อนไหวเพราะไม่สะดวกในการเปลี่ยนโหมดไปมา แต่ผมแนะนำนะครับว่าให้สลับถ่ายบ้าง เพราะนานๆกลับมาดูอีกทีมันทำให้คุณอมยิ้มแล้วนึกถึงวันที่ไปเที่ยวได้อารมณ์ มากกว่าภาพนิ่งครับ

กรณีที่เป็นภาพเคลื่อนไหวความละเอียดสูงสุดที่ 640 (30เฟรม) การ์ด 2 GB จะสามารถถ่ายได้ 35 นาที และ 4GB จะได้ 71 นาที การ์ด 8 GB ได้ 143 นาที ครับ

มีอีกจุดที่ควรรู้ครับ Fuji Z30 และ Fuji WP Z33 ทั้ง 2 รุ่นนี้เน้น Auto ล้วนๆ นะครับ ปรับโหมด Manual จำพวกรูรับแสง ชัตเตอร์ไม่ได้ครับ

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-fuji-z30-vs-fuji-z33-wp/

Review Canon Ixus 110 IS vs Canon Ixus 990 IS


สำหรับแฟนของสาวกค่าย Canon ไม่ควรพลาดครับกับกล้องที่เป็นลักษณะคอมแพค ใช้งานง่ายพกพาได้สะดวก และสีสันที่โดนใจ สำหรับวันนี้สิ่งที่ผมจะนำมาเสนอคือ Canon รุ่นใหม่ที่จะออกในปี 2009 นี้ครับ

เรื่องการดีไซน์ที่เปลี่ยนไปจาก Canon รุ่นเดิม ดีไซน์ที่เปลี่ยนไปเพิ่มความกระทัดรัดในการพกพา และสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น บวกพร้อมสีสันของตัวกล้องให้ดูน่าใช้ และมีดีไซน์มากยิ่งขึ้นจากเดิม กล้องส่วนใหญ่ของ Canon จะมีแต่สีเงิน ในรุ่นรูปแบบใหม่ก็จะมีสีสันมากขึ้นทั้งสีขาว และชมพู เพิ่มความหวานให้น่าใช้มากยิ่งขึ้นครับ

วัสดุที่แข็งแรงโดยใช้ metallic ที่เพิ่มความแข็งแรงในวัสดุของตัวกล้องให้ทนทานกับการใช้งานมากยิ่งขึ้นครับ สำหรับใครที่มองหากล้องดิจิตอลคอมแพคสักตัว และฟังก์ชั่นครบ แข็งแรงน่ารักทั้ง 2รุ่นนี้น่าจะตอบโจทย์ในใจได้ดีเลยครับ
Canon Ixus 110 IS หรืออีกชื่อที่เรียกกันในยุโรป คือ Powershot SD 960 IS ส่วน Canon Ixus 990 IS หรืออีกชื่อที่เรียกกันในยุโรป คือ Powershot SD 970 IS ที่มีลักษณะเหมือนกันแต่ชื่อต่างกันครับ อย่างที่เคยได้ทราบๆกันก็คือ ในท้องตลาดของกล้อง Canon หลักๆจะมี 3 ชื่อ ด้วยกันครับ คือชื่อที่จำหน่ายในตามท้องตลาดจะมีชื่อเป็น Ixus ในประเทศญี่ปุ่นจะมีชื่อที่เรียกกันว่า Ixy และ Powershot SD ชื่อที่จำหน่ายในโซนยุโรปครับ ในเรื่องฐานการผลิตของรุ่นจะมาจากประเทศเดียวกันครับ ไม่ได้แยกว่าชื่อไหนต้องผลิตที่ประเทศไหนครับ เพราะแหล่งการผลิตมาจากที่เดียวกันครับ แต่เมนูภาษาจะมีความต่างครับ

การเลือกหากล้องที่จะใช้งานสักตัวเรื่องความละเอียดก็เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับท่านที่ชื่นชอบการอัดภาพขยายใหญ่ หรือใช้งานทางโฆษณา ต้องใช้ทำแผ่นป้าย ความละเอียดที่ 12.1 เพียงพอต้องความต้องการเลยครับ ทั้ง Canon Ixus110 IS และ Canon Ixus990 IS มีความละเอียดที่เท่ากันครับ ในเรื่องหน้าจอ LCD ของ Canon Ixus110IS จะมีขนาดที่ 2.8 นิ้ว ส่วนตัว Canon Ixus990IS จะมีขนาดหน้าจอที่ 3.0 นิ้ว ใหญ่กว่าครับ
กำลังการซูมของ Canon Ixus110 IS และ Canon Ixus990 IS มีกำลังที่ต่างกันในการซูมด้วยชิ้นเลนส์ครับ ตัว Canon Ixus990IS จะได้เปรียบกว่าตรงซูมได้ถึง 5 เท่า แต่ Canon Ixus110IS จะอยู่ที่ 4 เท่าครับ

ถ้าใครชื่นชอบในเรื่องการถ่ายภาพวิว ถ่ายภาพมุมกว้าง ตัว Canon Ixus 110IS จะได้เลนส์ที่เป็นมุมกว้าง 28-112 mm.ครับ ในส่วนของ Canon Ixus 990 IS จะได้ที่เรื่องกำลังซูมที่ซูมได้กว่าครับ 37-185 mm. แต่ถ้าจะเก็บภาพมุมกว้างก็อาจะต้องถอยหลังสักประมาณ 1 ก้าวครับ ถึงจะเก็บภาพได้เหมือนเลนส์มุมกว้างครับ

สำหรับกรณีถ่ายภาพระยะใกล้หรือมาโคร ทั้ง Canon Ixus 110 IS และ Canon Ixus 990 IS จะมีระยะอยู่ที่ 2 ซ.ม. ค่าความไวแสง หรือค่า ISO สามารถปรับได้ทั้ง 2รุ่น สูงถึง 1600 เลยครับ การใช้งานในยามค่ำคืน ให้ภาพที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับภาพเคลื่อนไหว รูปแบบของความละเอียดมีการพัฒนาจากล้องรุ่นเดิมของ Canon
ในความละเอียด 640×480 ในรุ่นของ Canon Ixus 110 IS และ Canon Ixus 990 IS มีการพัฒนาความละเอียดให้เป็น HD เพื่อให้คุณภาพที่มากกว่า ความละเอียดของ HD จะอยู่ที่ 1280 x 720 ระยะเวลาของการบันทึกถ้าใช้การ์ด SDHC 4GB จะสามารถถ่ายที่ความละเอียด HD ได้ระยะเวลาถึง ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าเลือกเป็นแบบ 640×480 จะได้ระยะเวลาถึง 1ช.ม. เต็มเลยครับ ข้อแนะนำในการเลือกใช้ความละเอียดต้องสอบถามก่อนครับว่ามีจอ LCD ที่รองรับHDเหมือนกันหรือไม่ครับ ถ้าไม่มีสัญลักษณ์ HD รองรับ ผมแนะนำให้ใช้แค่ 640×480 ก็เพียงพอครับ กับโทรทัศน์สีในปัจจุบันครับ

ฟังก์ชั่นในการถ่ายภาพส่วนใหญ่จะมาในแบบ Auto และโหมดโปรมแกรมสำเร็จรูปที่ช่วยในการถ่ายภาพให้สะดวกและรวดเร็วตาม สถานการณ์ต่างๆครับ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพบุคคล ภาพวิวทิวทัศน์ ภาพมาโคร หรือภาพเด็กและสัตว์เลี้ยง และอื่นๆ อีกที่ช่วยคุณได้ทุกสภาวะครับ

โฟกัสใบหน้ากับฟังก์ชั่นกันสั่นยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงอยู่กับกล้อง รุ่นใหม่ครับ เพราะให้ภาพคมชัดและไม่สั่นไหวครับ CCD ชิฟประมวลผลที่เป็น Digi IIII ให้คุณภาพของได้ดีไม่ว่าสภาวะแสงที่แตกต่างกัน และช่วยจับภาพให้เร็วได้ดังใจสีสันตรงกับตาเห็นครับ

สำหรับสื่อการเก็บข้อมูลสามารถใช้ SDHC ได้สูงถึง 32GB จุภาพได้จุใจเลยครับ แต่แนะนำให้ใช้การ์ดหลายอันดีกว่าอันเดียวครับ เพราะถ้าการ์ดมี32GBจริงแต่มีปัญหาก็จบเลยครับ ไม่มีสำรองไว้ใช้งานนั้นคงหมดสนุกแน่ครับ แต่ถ้ามีสำรองไว้ถ้าเกิดปัญหาก็สามารถใช้การ์ดสำรองใช้ได้ต่อเนื่องเลยครับ
แบตเตอรี่ที่ใช้ทั้ง Canon Ixus110 IS และ Canon Ixus990 IS ใช้แตกต่างกันครับ ถ้าเป็น Canon Ixus110 IS ใช้เป็น NB-4L และ Canon Ixus990 IS ใช้เป็น NB-4L ทำให้น้ำหนักของขนาดกล้องแตกต่างกันอยู่บ้างครับ ตัว Canon Ixus110 IS มีน้ำหนัก 145g ขนาด 98×54x22 mm. และ Canon Ixus990 IS มีน้ำหนัก 160g ขนาด 96×57x26 mm.

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/canon-ixus110-is-vs-canon-ixus990-is/

Review Nikon P90


ปี 2009 ตลาดของกล้องดิจิตอลในไตมาสแรกมีกล้องหลายค่ายที่ออกมาหลายรุ่นอยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นค่าย Canon, Panasonic, Fuji, Nikon, ก็ต่างผลิตรุ่นใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบสนองกับการใช้งานที่สะดวกและเต็มประสิทธิ์ภาพมากยิ่งขึ้นครับ

ตัวที่ผมได้หยิบยกและมาพูดถึงกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ในปี 2009 เป็นของค่าย Nikon ครับ ที่มียอดขายในระดับต้นๆของทั่วโลกเลยครับ นั้นคือ Nikon P90 ที่ใครๆ จะคุ้นหูกับ Nikon P80 กันในช่วงปีที่ผ่านมาครับ แต่ในปีนี้ ทาง Nikon UK ภูมิใจที่จะประกาศถึงคุณภาพของ Nikon P90 ตัวนี้เลยครับ จากกำลังซูมของตัว Nikon P80 ที่สามารถซูมได้ 18x แต่มาตัว Nikon P90 พัฒนาขึ้นถึง 24x ที่ช่วยให้การถ่ายภาพสะดวกและใช้งานได้ดั่งใจยิ่งขึ้นพร้อมระบบ VR ที่ช่วยลดการสั่นไหวในการซูม และสามารถจับภาพได้ดียิ่งขึ้นด้วยเลนส์ที่มีมุมกว้างถึง 26mm. และภาพระยะไกลได้ถึง 624mm. ค่าความละเอียดของพิกเซลที่มากขึ้นในการอัดขยายภาพได้ตามที่คุณต้องการด้วย พิเซลที่ละเอียดถึง 12 Megapixel

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแมลง, ดอกไม้, พระเครื่อง หรือสินค้า จะชอบระบบมาโครในระยะเพียง 1ซ.ม. ที่จะช่วยให้คุณจับภาพได้ดีและเจาะลึกถึงรายละเอียดต่างๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้นครับ

ปัญหาในการถ่ายที่แสงน้อยที่ใครต่อใครก็บอกหนักหนาว่าถ่ายภาพยาก หาโฟกัสยาก ใช้งานยากถ่ายอย่างไรก็เบลอ ปัญหาแบบนี้จะหมดไปครับ ถ้าได้เลือกค่าความไวแสงที่ 6400 จะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างง่ายได้และคุณภาพที่ได้ดีโดนใจอีกด้วยครับ

หน้าจอที่ช่วยให้คุณมองภาพได้สบายตาขึ้น และได้ใจขึ้น ด้วยจอที่มีขนาด 3.0นิ้ว (230,000 Pixel)สามารถพับได้ ช่วยให้คุณเก็บภาพจากมุมสูงได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเลยครับ

โหมดการใช้งานก็มีให้เลือกได้เต็มระบบเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นโหมดAuto, P, S, A, M, Sceen ก็สามารถเลือกใช้งานได้เต็มประสิทธิ์ภาพเลยครับ
สำหรับโหมดการถ่ายภาพเคลื่อนไหวยังของมีอยู่ในกล้องที่เป็นD-SLR Like รุ่นนี้ครับ ความละเอียด 640×480 30fr ถือว่ายังเป็นความละเอียดทั่วไปที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยครับ ตัวนี้ถ้าจะเน้นในเรื่องถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่เน้นระดับ HD คงจะต้องทำใจนิดหนึ่งครับ

แต่ข้อดีสำหรับผู้ที่ชอบถ่ายภาพแนว Panorama Assist ตัวนี้ก็สามารถถ่ายภาพ Panorama ได้เลยครับ ซึ่งมีกล้องอยู่ไม่กี่รุ่นที่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นนี้ได้ครับ ส่วนผู้ที่ชื่นชอบภาพจำพวกนี้ก็จะเป็นในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ เป็นส่วนใหญ่ครับ

ฟังก์ชั่นการตั้งเวลาถ่ายกรณีที่เป็นภาพบุคคล ในระบบฟังก์ชั่นใหม่ คือ Smile Timer ที่จะช่วยให้คุณเพิ่มความสนุกในการถ่ายด้วยฟังก์ชั่นที่ให้บุคคล หรือแบบยิ้ม แล้วค่อยถ่าย

หน่วยความจำในตัวเครื่องซึ่งหน่วยความจำในตัวเครื่องมีให้ 50 MB ซึ่งสามารถลองรับการ์ดแบบ SDHC ได้สูงถึง 32GB เลยครับ
สำหรับตัว Nikon P90 ใช้เป็นแบตลิเธียมรุ่น EN-EL5 ซึ่งการชาร์จ1ครั้ง สามารถถ่ายภาพได้ประมาณ 250 ภาพครับ

น้ำหนักที่ไม่รวมแบตเตอรี่จะอยู่ที่ 400g ความกว้างยาว 83 x 114 x 99 mm

จุดเด่นที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม คือ การถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 45 ภาพ ที่ความเร็ว 15 ภาพ ต่อวินาที ซึ่งเหมาะกับการถ่ายภาพในแนวกีฬาเป็นอย่างมาก

Face Detection จับใบหน้าได้ถึง 12 ใบหน้า พร้อมฟังก์ชั่นใบหน้ายิ้มก่อนถ่าย และระบบที่สามารถเตือนภาพสว่างเกินที่มีชื่อว่า BlinkWaring

ระบบ D-Ligthing ที่เป็นจุดขายของ Nikon ก็ยังคงมีอยู่ครับ ระบบนี้จะช่วยเพิ่มในเรื่องContrast ของภาพให้ได้คุณภาพเหมือนกล้อง D-SLR เลยครับ

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/review-nikon-p90/

รีวิว กล้อง Panasonic FX38 / Panasonic FX520


เมื่อพูดถึงกล้องยี่ห้อ Panasonic คงจะได้ยินกันติดหูอยู่ใช่ไหมครับ ยิ่งตอนนี้มี 2 รุ่นที่ผลิตออกมา คือ Panasonic FX38 / Panasonic FX520 ความต่างของฟังก์ชั่นทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ แต่สิ่งที่เหมือนคือสัญลักษณ์ Leica ที่เห็นเด่นชัดตรงหน้าเลนส์เลยครับ

ต้องขอกล่าวอีกสักนิดก่อนนะครับ เรื่องเลนส์ Leica ก่อนนะครับ เลนส์ยี่ห้อนี้มีฐานการผลิตจากประเทศเยอรมัน ผลิตเลนส์มายาวนานเลยครับ ถ้าบางคนที่เคยเห็นกล้องกับเลนส์ที่เป็นของ Leica แท้ๆ ก็จะทราบถึงราคา และคุณภาพที่โดยใจเลยครับ แต่นับมาหลายปีที่ Panasonic ได้นำมาประกอบกับ Leica ให้ได้คุณภาพดี ใกล้เคียงคุณภาพจากกล้อง Leica เองเลยครับ

จุดเด่นของ Panasonic FX 38 / Panasonic FX520 ทั้ง รุ่นเป็นกล้องดิจิตอลคุณภาพสูงความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซูมเลนส์ได้สูงถึง 5 เท่า เลนส์ LEICA DC VARIO ELMARIT wide-angle ขนาด 25-125 mm. ดิจิตอลซูม 4 เท่า MEGA O.I.S. ป้องกันการสั่นไหวของภาพ ความไวแสงสูงสุด ISO 6400 ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นครับ

ถ่ายภาพระยะใกล้มาโคร 5 ซม. ถือว่าใช้ได้ดีทีเดียวครับ เพราะถ้าจะใช้ถ่ายสินค้า หรือชอบถ่ายดอกไม้ ตัวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้เลยครับ ความสามารถอื่นๆ ยัง สามารถถ่ายภาพได้ทั้งสเกล 4:3 , 3:2 และ 16:9 เลือกได้ตามใจชอบเลยครับ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแนววิวทิวทัศน์ก็สามารถเลือกแบบ16:9 ช่วยให้ได้ภาพแนวกว้างดูดีไปอีกแบบหนึ่งครับ

ระบบบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอขนาด 1280 x 720 พิกเซล คุณภาพสูงแบบ HD ได้ ให้ภาพวิดีโอที่คมชัดสมจริง ซึ่งเหมาะกับจอ LCD ที่เป็นระบบHD เหมือนกันคุณภาพระดับคุณภาพเลยครับ

สำหรับหน่วยความจำรองรับเมมโมรี่การ์ด SD/SDHC สูงถึง 32GB เลยครับ ใช้แบตเตอรี่ Li-ion Battery Pack ชาร์จหนึ่งครั้งถ่ายภาพได้ประมาณ 310 ภาพ

หน้าจอของทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันครับ ถ้าเป็น Panasonic FX 38 มีขนาดที่ 2.5 นิ้วครับ แต่ถ้าเป็น Panasonic FX520 ก็จะมีขนาด 3.0 นิ้ว และเป็นรุ่นแรกของ Panasonic ที่สามารถสัมผัสและเลือกใช้งานได้โดยมีอุปกรณ์ไสรัต เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้สัมผัสจอได้ง่ายขึ้นครับ
ความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นจะมีในเรื่องฟังก์ชั่นบางตัว ถ้าท่านใดที่ชอบการปรับแต่ง หรือคิดคำนวนเองต้องชอบใน Panasonic FX520 เพราะจะสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูป และสามารถเลือกปรับโหมด M (Manual) ได้ครับ แต่ถ้าเป็นตัว Panasonic FX38 ก็จะสามารถปรับได้แต่น้อยกว่า Panasonic FX520 ครับ

จุดเด่นๆ ที่ทางค่าย Panasonic ได้คิดผลิตฟังก์ชั่นกล้องให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวกขึ้น คือฟังก์ชั่นระบบ Intelligent Auto Mode โหมดออโต้อัจฉริยะ หรือที่มีติดอยู่ในกล้องที่เป็นสัญลักษณ์ iA จะมีในกล้องรุ่นใหม่ของ Panasonic หลักการของ iA ก็คือโหมดออโต้ที่ฉลาดกว่าออโต้ทั่วไป สำหรับคนที่เคยเล่นกล้องมาก็คงจะพอทราบว่าโหมดออโต้ของกล้องเดี๋ยวนี้จะมี หลายโหมดย่อยๆ เช่น Portrait (ถ่ายคน), Landscape (วิว), Night Scene (กลางคืน), Macro (ดอกไม้) เพื่อให้เหมาะกับลักษณะภาพและแสงแบบต่างๆ ซึ่งจะให้ภาพที่ดีกว่าโหมดออโต้ปกติ ที่เป็นการเซ็ตค่าแบบครอบจักรวาล แต่สำหรับ iA ของพานาโซนิค จะเป็นโหมดออโต้ ที่ทำการเลือกโหมดต่างๆให้เราอีกทีโดยอัตโนมัติ หรือพูดอีกอย่างก็คือ กล้องจะดูออกได้เอง ว่าตอนนี้ถ่ายวิว ตอนนี้ถ่ายคน หรือตอนนี้ถ่ายดอกไม้อยู่ แล้วจะปรับค่าไปยังโหมดต่างๆให้เหมาะกับสถานการณ์นั้นเอง เราไม่ต้องไปปรับเองเลย เพียงแค่หมุนมาที่ iA เท่านั้น จากรูปจะเห็นว่า iA จะเลือกโหมดให้เราได้ 5 แบบ คือ Portrait, Night Portrait, Landscape, Auto (ทั่วไป), และ Macro ขณะที่เราเลื่อนกล้องไปในเฟรมและกดชัตเตอร์เพื่อโฟกัส กล้องจะตรวจให้เราและแสดงโหมดที่ถูกเลือกให้เราเองเลย ซึ่ง iA นี้จะใช้ร่วมกับ face recognition หรือระบบตรวจจับใบหน้าได้ถึง 15 ใบหน้า และ intelligent ISO หรือระบบปรับ ISO อัตโนมัติเพื่อป้องกันภาพเบลอจาก motion ของ object ได้โดยอัตโนมัติ เช่น ถ้าถ่ายกลางคืน มีหน้าคนหรือไม่มีหน้าคน กล้องจะรู้เองเลย

ซึ่งเป็นความอัจฉริยะของกล้องจากค่าย Panasonic เลยครับ ถิอเป็นกล้องอีกยี่ห้อหนึ่งที่น่าใช้เลยครับ หรือสำหรับผู้ที่ชอบสีภาพสด ๆ ใส ๆ มองเป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่งเลยครับ

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2009/pana-fx38-vs-pana-fx520/

Canon 450D VS Nikon D80


เป็นคำถามที่ผู้ซื้อหลายท่านที่กำลังจะหันมาลองใช้ กล้องดิจิตอล DSLR แทนกล้อง Compact ที่เคยๆใช้กันอยู่ ว่าจะซื้อยี่ห้อไหนและรุ่นไหนดี โดยฉพาะคำถามที่ผมเจอบ่อยมากคือ จะเอา 450D หรือ D80 ให้ผมช่วยเลือกให้หน่อย ช่วงคืนที่ผ่านมาผมเลยมาค้นข้อมูล และ Comment จากผู้ที่ได้ใช้งานจริงของกล้องทั้ง 2 รุ่น นี้จากที่ต่างๆ แล้วเอามาสรุปเป็นประเด็นเพื่อให้ผู้ที่ยังสงสัยได้ลองตั้งคำถามและช่วยกัน ตอบโจทย์ในใจไปพร้อมๆ กันที่ละข้อ เพื่อประโยชน์สุดท้ายที่ว่า จะซื้อกล้องดิจิตอล DSLR ตัวไหนดี

คำถามแรก คุณต้องการ กล้องดิจิตอล DSLR จริงๆ หรือเปล่า ?

สำหรับคำถามนี้ถ้าท่านมีความมั่นใจเกินร้อยว่าจะซื้อกล้อง DSLR แน่นอนก็สามารถข้ามไปอ่านข้อถัดไปได้เลยครับ

ประเด็นนี้ผมถือว่าสำคัญมากเนื่องจากผมเองได้มีโอกาสคุยกับลูกค้าอยู่ บ่อยๆ บางท่านมาถึงก็อยากจะซื้อกล้อง DSLR หรือผมขอเรียกว่าในต่อๆ ไปว่า “กล้องตัวใหญ่” (เนื่องจากเป็นกล้องที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้และมีขนาดที่ใหญ่กว่ากล้อง Compact โดยทั่วไป) ผมถามว่ามีพื้นฐานการถ่ายภาพบ้างหรือเปล่า เกินกว่า 80% ไม่ มีพื้นฐานมาก่อน แต่มีความอยากถ่ายภาพให้ดี ถ่ายภาพออกมาแล้วสวยๆ ในประเด็นนี้ไม่มีพื้นไม่เป็นไรครับ ผมถือว่ามีความตั้งใจแล้วถ้าอยากรู้ผมก็พอจะแนะนำหลักการให้ได้อยู่บ้าง คราวนี้ผมผมลงลายละเอียดถึงข้อดี ข้อด้อยของกล้องตัวใหญ่ เมื่อเทียบกับกล้อง Compact กล้อง Pro-sumer และกล้อง DSLR like บางท่านยิ่งลังเลหนักเข้าอีก ไม่แน่ใจว่าจะลดลงมาเป็นกล้อง Pro-sumer หรือ กล้อง DSLR like ดี เพื่อเป็นการเสริมท่านที่ยังไม่แน่ใจว่ากล้อง Pro-sumer และ กล้อง DSLR like ต่างกับกล้องตัวใหญ่ที่เราจพูดถึงต่อไปอย่างไร ผมขอชี้แจงรายละเอียดของกล้อง 2 ประเภทนี้ก่อนนะครับ

กล้อง Pro-sumer เป็นกล้องที่มีความสามารถในการปรับไปใช้งานในโหมด Manual ได้ในโหมด Speed shutter (ที่กล้องจะเป็นโหมด TV หรือ S) หรือ โหมดการปรับค่ารู้รับแสงเองได้(ที่กล้องจะเป็นโหมด AV หรือ A) ซึ่งการทำงานของโหมดต่างๆ เหล่านี้เหมือนกับการทำงานของกล้องตัวใหญ่ทุกประการ แต่กล้องกลุ่มนี้จะถอดเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ แต่กำลังซูมทำได้ดีมาก บางรุ่นเทียบได้กับคนที่ซื้อกล้องตัวใหญ่แล้วติดเลนส์ 28-400 mm เลยที่เดียว อย่างเช่นกล้อง Panasonic Fz28 กล้อง Fuji S2000
ข้อดี
1. น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
2. ราคาไม่แพงนักประมาณหมื่นต้นๆ
3. ไม่ต้องถอดเปลี่ยนเลนส์บ่อยๆ อย่างเช่นในการถ่ายภาพ Macro (การถ่ายภาพระยะใกล้กับวัตถุมากๆ เช่นการถ่ายภาพแมลงดอกไม้ หรืออาหารเป็นต้น)
4. ถ่ายวีดีโอคลิปได้
5. ปรับรูปแบบได้ใช้งานได้เหมือนกล้องตัวใหญ่ทุกอย่าง
6. สามารถต่ออุปกรณ์เสริมได้ เช่น Filter หรือ External Flash
7. ในกล้องบางยี่ห้อสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง 13.5 ภาพต่อวินาทีในขณะที่กล้องตัวใหญ่เต็มที่ก็ 4 ภาพต่อวินาที (ซึ่งกรณีนี้อาจจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการถ่ายภาพเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งเหมือน กับการดูเฟรมหนังที่ละเฟรม)

ข้อด้อย
1. คุณภาพของภาพที่ได้สู้กล้องตัวใหญ่ได้ไม่ดีนัก เนื่องจากคุณภาพของเลนส์ที่ติดมากับกล้อง และ Sensor ในการประมวลผลภาพ
2. ไม่รองรับการถ่ายภาพ RAW file (เป็น File ภาพที่ไม่ผ่านการบีบอัด file และ กระบวนการใดๆ เลยเหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของภาพมากๆ และต้องการนำภาพมาผ่านกระบวนการปรับแต่งเพื่อให้ได้ภาพตามที่ต้องการ)
3. ไม่สามารถปรับ Focus แบบ Manual ได้
4. ดูไม่เท่ห์เท่ากับการถือกล้องตัวใหญ่ในการถ่ายภาพ

กล้อง DSLR Like จะมีข้อดีและข้อด้อยคล้ายๆ กับกล้อง Pro-sumer แต่จุดที่แตกต่างเพื่อเติมคือ การปรับการ Zoom ของเลนส์ได้อย่างอิสระกว่า จะปรับเป็น Manual focus ก็ทำได้ จะทำเทคนิดระเบิดซูมก็ทำได้ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของกล้อง DSLR Like นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนกล้องตัวใหญ่ทุกประการ จะต่างก็ตรงมี่เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้เช่นกัน กล้องในกลุ่มนี้เช่น Fuji S9600 ครับ
เอาล่ะครับถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมแนะนำให้ตัดสินใจอย่างนี้ครับ ถ้าไม่ซีเรียสกับความเป็นกล้องตัวใหญ่มากนัก เน้นว่าพอมีฟังก์ชั่นการทำงานได้เหมือนก็ Ok แต่ต้องการความสะดวกในการพกพา และการใช้งานมากกว่า กล้องในกลุ่ม Pro-summer ครับ แต่ถ้าอยากให้ดูดีเทียบไหล่ได้กับกล้องตัวใหญ่ไปอีกนิดก็ต้องกล้องแบบ DSLR Like คือคำตอบครับ ส่วนจะชอบยี่ห้อไหน รุ่นไหนอยากลองจับ ลองเล่นก่อน ก็ไปถามกันได้ที่ร้าน Digital2home ทุกสาขาครับ

คำถามที่สอง มีงบประมาณทั้งตอนนี้และในอนาคตเป็นอย่างไร

ประเด็นนี้ก็มีผลสำคัญมากอีกประการครับเนื่องค่ากล้อง และค่าอุปกรณ์ต่อเนื่องของกล้องทั้ง 2 ค่ายนี้ต่างเอาการอยู่ครับ ค่ากล้องและอุปกรณ์ของค่าย Canon หรือหลายท่านอาจเคยได้ยินว่าน้อง “ หนอน ” จะมีราคาที่ถูกกว่าค่าย Nikon หรือมักเรียกเล่นๆว่า “ นิกกอน ” ประมาณ 5 – 40% โดยประมาณในสินค้าที่เทียบชื่อเดียวกันครับ เอายังงี้เพื่อให้เห็นภาพ กล้อง 450D body (มีแต่ตัวกล้องไม่รวมเลนส์) ราคาประกันร้านของ Digital2home ณ วันที่ผมเขียนอยู่ที่ 19,900 บาทส่วนของ D80 body อยู่ที่ 23,500 บาท ต่างกันประมาณ 20% อย่างเลนส์ช่วง 50 mm F1.8 ประกันศูนย์ทั้งคู่ของ หนอน ที่ร้าน digital2home ขายอยู่ที่ 3,300 บาทส่วน นิกกอน ขายอยู่ที่ 4,500 บาทต่างกันประมาณ 35% ในประเด็นนี้ผมไม่เทียบเรื่องคุณภาพของภาพที่ได้จากทั้ง 2 ค่ายนะครับดูที่เงินต้องจ่ายเป็นหลักอย่างเดียวครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นในเมืองไทยคือคนที่ใช้กล้อง Canon เยอะกว่าครับ ตรงนี้อาจจะเป็นข้อดีที่ทำให้มือใหม่ที่ใช้น้องหนอนอยู่ จะสามารถขอหยิบยืมเลนส์หรือ อุปกรณ์อื่นๆ จากกลุ่มผู้ใช้หนอนด้วยกัน มาลองใช้ก่อนได้ง่ายกว่ากลุ่มนิกกอนหน่อยครับ
ประเด็นนี้ถ้าดูกันที่เรื่องเงินเป็นหลักผมเคาะที่ แคนนอล ครับได้ของ Spec ใกล้กันในราคาที่ถูกว่าหน่อย หรือในกรณีนี้ก็ต้องเป็น 450D ครับ แต่ยังไม่หมดครับยังมีประเด็นอื่นอีก ลองอ่านไปต่ออีกหน่อยนะครับ

คำถามที่สาม ความคล่องตัวในการใช้งานในฟังก์ชั่นและ Short cut ต่างๆ

สำหรับประเด็นนี้จะต้องท้าวความไปในเรื่องฟังก์ชั่นต่างๆ อีกซักหน่อยครับ อย่างเช่นการเปลี่ยนค่า ISO ค่า White balance การชดเชยแสงเฟสซ การปรับจุด Focus และต่างๆ อีกประมาณ 5-6 อย่าง ถ้าใครไม่รู้ว่ารายละเอียดของเรื่องเหล่านี้คืออะไรไว้ผมจะมาบอกอีกที่ละกัน นะครับ ในการใช้งานฟังก์ชั่นพื้นฐานที่เหมือนๆ กันของกล้องทั้ง 2 ยี่ห้อนี้ผมและหลายๆ ท่านที่ผมได้ไปอ่าน review พบว่าชอบของ Nikon D80 มากกว่าเนื่องจากปุ่มต่างๆ ที่ทำออกมานั้นสะดวกต่อการใช้งานและการปรับเปลี่ยนเป็นอย่างมาก และมีจอ LCD 2 จุดคือด้านบนและด้านหลัง ในขณะที่ 450D นั้นมีแต่ที่ด้านหลังอย่างเดียว ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ การปรับชดเชย Flash ถ้าเป็น 450D ต้องเข้าไปที่ Menu เพื่อทำการปรับแต่ D80 สามารถทำได้โดยกดที่ปุ่มรูป Flash ที่ด้านหน้าแล้วใช้การหมุนวงแหวนได้ทันทีครับ หรือการยกเลิกการ Set ค่าต่างๆ ที่เราได้เคย Set ไว้ก่อนหน้า ถ้าเป็น D80 ก็ทำได้โดยการกดปุ่มแค่ 2 ปุ่มพร้อมๆ กันค่างๆไว้ซัก 2-3 วินาที่ก็ทำเรากลับมาสู่ค่า Default ของกล้องได้แล้วครับ ในประเด็นนี้จะเหมาะสำหรับ ผู้ที่มีการปรับไปใช้งานในค่าต่างๆ แล้วลืมไปว่าทำอะไรกับกล้องไปบ้าง บวกกับสถานการณ์ที่ต้องรีบถ่ายภาพต่อไป โดยส่วนตัวผมว่าสะดวกดีครับ
ประเด็นนี้ผมยกให้ Nikon D80 ครับ

คำถามที่สี่ คุณภาพของ Body และความเหมาะมือ

Body ของ 450D นั้นเป็นพลาสติกพิเศษที่มีความแข็งแรงในระดับหนึ่งและมีน้ำหนักเบา ส่วนของ D80 นั้นเป็นแม็กนีเซียม อัลลอยด์ มีความแข็งแรงมากกว่าและน้ำหนักที่มากกว่าด้วยครับ ขนาดของ Body ของ D80 ใหญ่กว่า 450D เล็กน้อย เท่าที่ผ่านมามีลูกค้าหลายท่านโดยเฉพาะผู้ชายจะชอบ D80 มากกว่าเนื่องจากความเหมาะมือและน้ำหนักที่กำลังพอดีมือ บางท่านบอกไปถึงว่าจับแล้วรู้สึกถึงรังสีที่ทำให้รู้สึกว่าดีกว่า (อันนี้ผมว่าแต่ละท่านคงต้องไปลองดูเอาเองครับว่ารู้สึกได้ถึงขนาดนั้นจริง หรือเปล่า) แต่คุณผู้หญิงจะชอบ 450D มากกว่าเนื่องจากน้ำหนักที่ไม่หนักมาเกินไป ซึ่งก็มีหลายครั้งครับที่คุณผู้ชายอยากได้ D80 แต่ต้องจบด้วย 450D เนื่องจากคุณผู้หญิงบอกว่าจะเอา 450D เนื่องจากฉันจะใช้ด้วยและไม่อยากได้กล้องที่มันหนักเกินไป อันนี้คงต้องแล้วแต่ตกลงกันในครอบครัวล่ะครับ เห็นที่ประเด็นนี้จะเคาะยากหน่อย

คำถามที่ห้า เรื่อง Live view จำเป็นมั้ย

Live view คือการถ่ายภาพโดยดูได้จากจอ LCD ด้านหลังเครื่องครับเนื่องจากแต่ดังเดิมนั้น กล้องตัวใหญ่เวลาถ่ายจะต้องมองผ่านช่องอย่างเดียวครับ การมองจากจอ LCD แล้วถ่ายได้นั้นจะเห็นแต่ในกล้อง Compact มาก่อนแต่ 450D ได้เอาฟังก์ชั่นนี้มาใส่ให้ด้วย ในขณะที่ D80 ไม่มี ในเรื่องผมมองว่าการมี Live view ก็สะดวกดีครับสำหรับการถ่ายภาพในบางมุมที่เราไม่สามารถมองผ่านช่องก่อนถ่าย ได้ เช่นการถ่ายภาพมุมสูงที่ต้องอาศัยการชูมือแล้วถ่าย หรือมุมต่ำมากๆ เช่นการวางกล้องบนพื้นแล้วถ่าย ถ้าเป็นปกติคงต้องลงทุนนอนกับพื้นแล้วถ่ายครับ หรือการถ่ายภาพระยะใกล้ (Macro) บ่อยเช่น การถ่ายงานจิวเวลรี่ หรืออาหาร การมองผ่านจอ LCD นั้นเหมาะกว่าครับ ที่นี้ต้องกลับมาถามตัวเองว่าจะได้ใช้งานที่เป็นสถานการณ์เหล่านี้บ่อยมาก มั้ย โดยส่วนตัวที่ได้ถามช่างถ่ายภาพทั่วๆ ไปหลายต่อหลายท่านก็มองว่าไม่จำเป็นนัก และก็ถ้าต้องดูจากจอ LCD แล้วถ่ายก็ดูไม่โปรนัก ทำให้คิดไปว่าไม่ต่างจากใช้กล้อง Compact แล้วถ่าย โดยส่วนตัวผมว่าเสน่ห์ของกล้องตัวใหญ่อยู่ที่การทาบที่ตาแล้วถ่ายเนี่ยละ ครับมันดูแล้วเท่ห์ดี ใครเห็นด้วยกับผมก็ยกมือขึ้นล่ะกันครับ
มุมมองผม ผมว่ามีก็ดีครับในบางครั้งมันก็สะดวกดี

คำถามที่หก Function การใช้งานมีอะไรที่น่าสนใจบ้างระหว่าง 450D กับ Nikon D80

สำหรับเองผมชอบ Function การตั้งเวลาแล้วถ่ายภาพต่อเนื่องได้ อย่าง 450D สามารถตั้งเวลา 10 วินาทีแล้วให้กล้องสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง 10 รูปในขณะที่กล้อง Nikon D80 ยังไม่มีลูกเล่นนี้ให้ แล้วที่ชอบ Function นี้ก็เนื่องจากผมอยากมีรูปตอนกระโดดกับเพื่อนๆ ครับ เอ…. งง กันหรือเปล่าครับ ก็ยังงี้ไงปกติการถ่ายภาพตอนกระโดดนั้นต้องอาศัยการถ่ายภาพต่อเนื่องซึ่ง ต้องมีผู้เสียสละมากดชัตเตอร์ค้างไว้ซึ่งทำให้เวลาไปเที่ยวมักไม่ครบองค์ ครับ แต่สำหรับ 450D นนี้ Ok เลยครับผมก็แค่ตั้งกล้องไว้บนขาตั้งกล้องแล้วก็ตั้งเวลาจากนั้นผมก็สามารถไป แจม กับเพื่อนๆ ในท่ากระโดดได้แล้ว! แต่สำหรับ D80 ผมเองกลับชอบที่ระบบ Rear Flash ครับเนื่องจากเวลาผมไปถ่ายภาพการจราจรในยามค่ำคืน ถ้าเป็น Flash ธรรมดาจะเห็นแสงไฟนำหน้ารถครับ แต่ถ้าเป็น Function นี้ของ D80 (ที่จริงก็มีแทบครบใน Nikon ทุกรุ่นครับ) จะเห็นเส้นไฟต่อจากท้ายออกมาครับ ถ้าให้เคาะเรื่อง Function ใหม่ที่น่าสนสำหรับผม การตั้งเวลาแล้วถ่ายภาพต่อเนื่องของ 450D ผมใช้เยอะกว่าครับ โดยเฉพาะที่หาตัวช่วยในการมากดภาพให้ผมนั้นหาได้ยาก แต่ขาตั้งกล้องเนี่ยพกไปได้ทุกที่ครับ

คำถามที่เจ็ด คุณภาพหรือลักษณะของภาพที่ได้

คุยกันมาถึงเรื่องกล้องไม่ถามที่เรื่องคุณภาพของภาพที่ได้คงจะกระไรอยู่ มิใช่น้อยครับ ในประเด็นนี้ผมแยกออกเป็น 2 เรื่องที่คนมักถามผมเยอะคือเรื่องสีสันของภาพและเรื่องน๊อยส์ (Noise) ครับ เรื่องสีสันของภาพเอาที่เป็นเลนส์ Kit ที่ติดมากลับกล้องที่เป็น ชุด Kit ล่ะกันครับจะได้คุยกับง่ายหน่อย (แม้ว่าที่ร้านผมชุด Kit ของ D80 กับ 450D จะได้คนละช่วงเลนส์ครับ ของ 450D kit จะเป็น18-55 mm IS แต่ D80 ที่ขายดีจะเป็น 18-135 mm VR ครับ) เรื่องสีสันโดยบ้านๆ แล้วค่ายนิกกอนนั้นจะให้ภาพที่มีสีสันสดกว่าของน้องหนอนครับ แต่ของ 450D เองก็มี Function Picture style ให้สามารถปรับความสดใสของสีได้ครับ จะเอาให้สีเน้นจัดๆ คล้ายนิกกอนนั้นก็ได้อยู่ แต่พื้นเพของหนอนน้อยนั้นจะเป็นสีนุ่มๆ ครับ เอ…. แล้วเลนส์ที่ผมกล่าวไว้ก่อนหน้าเกี่ยวไรกับสีสันล่ะก็ การถ่ายภาพนั้นตัวกล้องสำคัญแต่เลนส์อาจจะสำคัญยิ่งกว่าสิครับ ก็ลองคิดอย่างนี้สิเราซื้อกล้องตัวล่ะ 2-3 หมื่นแต่กลับยอมทุมทุน สร้างซื้อเลนส์กันบางที่ตัวหนึ่งเฉียดแสนแน่ะ แล้วจะบอกว่าเลนส์ไม่มีผลได้อย่างไรจริงมั้ยครับ เอาล่ะย้อนกลับมาที่คุณภาพเลนส์ Kit ของที่ Nikon ให้มากับ Nikon D80 ทั้งผมและน้องๆ ในร้านก็ลงความเห็นว่าคุณภาพของเลนส์ Kit ของ Nikon ที่ให้มานั้นคมชัดกว่าเลนส์ Kit ของ 450D ดีครับก็เลยมีผลทำให้ภาพที่ได้ออกมาดูดีกว่านิดๆ แต่เรื่องนี้สำหรับคนที่ซื้อน้องหนอนไปก็แก้ได้ด้วยการซื้อเลนส์ดีๆ สักตัวแทนในภายภาคหน้าก็ได้อยู่ครับ เพราะการซื้อกล้องตัวใหญ่คงไม่จบที่แต่เลนส์ Kit ทีได้มาอย่างแน่นอนครับ ผมกล้าการันตีได้เลย ต่อมาก็เรื่อง Noise ถ้ามีการใช้งานค่า ISO ไปมากกว่าที่ 800 แล้วล่ะก็อันนี้ 450D ทำได้ดีกว่า(ที่จริงก็ทำได้ดีมาตั้งแต่ 400D แล้วครับ: ที่มาในเรื่องนี้มาจาก D-preview ครับ) ถ้าใช้งานกลางคืนบ่อย 450D น่าจะเหมาะสมความครับ

ในเรื่องสีสันของภาพและความคมนั้นทั้ง 2 ค่ายแก้ได้ที่การตั้งค่าสีสันต่างๆ ในกล้องการเปลี่ยนเลนส์ครับ ส่วนเรื่อง Noise 450D ได้ภาษีดีกว่าหน่อยครับ

คำถามสุดท้าย ถือตัวไหนแล้วตัวเองคิดว่าสบายใจครับ

อันนี้ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ มีหลายต่อหลายคนทีผมเคยแนะนำไปแล้วเกิดอาการตะขิดตะข้วงใจ แบบว่ากลุ่มเพื่อนใช้ Canon กันหมดพอเอา Nikon ไปเพื่อนก็บอกว่า Nikon รุ่นนี้ไม่ดีอย่างโน้น อย่างนี้บ้างล่ะทำให้เกิดอาการเซ้งเอา บางทีคิดเอาว่าโดยคนขายเชียร์หลอกขายเอาอีก ซึ่งประเด็นนี้ผมจะบอกน้องๆ ที่ร้าน digital2home เสมอว่าให้ช่วยลูกค้าเลือกกล้องตามความต้องการให้ได้มากที่สุด บางที่แค่ spec ที่บอกมาจ่ายแค่ 5,000 ก็พอแล้วครับไม่ต้องจ่ายเป็น 10,000 แต่ยังไงก็ตามสุดท้ายให้คุณลูกค้าต้องตัดสินใจให้ดีๆ เองว่าตัวลูกค้าเองชอบแบบไหนจะได้ซื้อแล้วสบายใจ เพราะกล้องที่คุณๆ กำลังซื้อไม่ว่าจะเป็น 450D หรือ D80 คุณจะต้องใช้มันและถือมันไปทุกที่ ถ้าถือแล้วรู้สึกดีกับมัน ถือแล้วรู้สึกอยากใช้ อยากเอามันมาศึกษา อยากเอามันมาถ่ายภาพโชว์คนอื่นๆ และต้องใช้งานมันอย่างน้อยก็ปีสองปีล่ะครับ ผมว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุดครับ เช่นบางท่านอยากได้ Nikon มากมาย แบบว่าไม่รู้ทำไม แค่รู้สึกว่าถือกล้อง Nikon แล้วดูดีมากกว่าหรือเหมาะกับตัวเองมากกว่า ผมก็แนะนำให้ซื้อ Nikon D80 เลยครับอย่าลังเล ไม่ว่าจะด้วยประการใดๆ หรือถ้าชอบ Canon ก็ซื้อ Canon ครับ เพราะกล้องทุกตัวมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ถ้าเราชอบตัวไหนมากกว่า สุดท้ายเราก็จะหาข้อดีมันได้มากกว่าเสมอล่ะครับ ไม่รู้ว่ามีใครเป็นอย่างผมแบบนี้หรือเปล่า หรือถ่าไม่แน่ใจก็ลองคิดถึงการซื้อของครั้งที่ผ่านๆ มาก็ได้ครับว่าเจออาการอย่างนี้บ้างมั้ย

ที่มา:http://www.digital2home.com/tips/2008/canon-450d-vs-nikon-d80