วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

NIKON D60



NIKON เผยโฉมกล้อง รุ่น D60 ที่จะมาทดแทน D50 ได้หลายวันแล้ว และคาดว่าจะวางตลาดในช่วงต้นเดือนมีนาคม
Nikon D60 เป็นกล้อง DSLR หรือกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งทางบริษัทนิคส์ไทยแลนด์ เรียกขานใหม่ว่าเป็น ดีเอสแอลอาร์ คอมแพ็ก เพราะเป็นกล้องดีเอสแอลอาร์ที่เอาคุณสมบัติ ความคล่องตัว และจุดเด่นของกล้องคอมแพ็กติดตัวมาด้วย ความละเอียด 10.2 ล้านพิกเซล ระบบประมวลผลภาพ Nikon EXPEED ให้ไฟล์ภาพนุ่มนวล คมชัด สีสันสมจริงเป็นธรรมชาติ เป็นกล้องที่ขนาดรูปร่างไม่ได้ใหญ่เทอะทะเหมือนที่มือโปรชอบใช้ แต่หาก ได้ลองจับกริป หรือด้ามจับตัวกล้องเพื่อใช้งาน จะรับรู้ได้ถึงความถนัด เหมาะมือ คนอุ้งมือใหญ่อาจไม่เห็นด้วย แต่สำหรับสุภาพสตรีหรือผู้ใช้ทั่วไปจะเป็นความพอดี
ความโดดเด่นของกล้องรุ่นนี้ ที่นิคอนภูมิใจนำเสนอ ในฐานะที่ทำขึ้นเป็นรายแรกของโลก เป็นเทคโนโลยีกำจัดฝุ่นระบบใหม่ ใช้ลมเป่าไล่ฝุ่นที่เซ็นเซอร์รับภาพผ่านช่องลมที่ส่วนล่างของช่อง กระจกสะท้อนภาพ และมีระบบกำจัดฝุ่นแบบสั่นเซ็นเซอร์รับภาพควบคู่ไปด้วย จึงสามารถไล่ฝุ่นที่เกาะเซ็นเซอร์ได้อย่างดีขึ้น ผู้ใช้สามารถกำหนดให้ทำงานอัตโนมัติหรือสั่งให้ทำงานได้ด้วยตนเอง จึงไม่ต้อง ห่วงปัญหาฝุ่นเข้าในตัวกล้องขณะเปลี่ยนเลนส์อีกต่อไป โดยระบบอัตโนมัติกล้องจะทำงานทันทีในเสี้ยววินาทีที่เปิดและปิดกล้อง
ระบบกำจัดฝุ่นสำหรับกล้องดีเอสแอลอาร์ มีทำไว้หลายยี่ห้อ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการสั่นเอาฝุ่นออกเซ็นเซอร์รับภาพ จนกระทั่งนิคอน ออกกล้องโปร รุ่น D300 เป็นรายแรกซึ่งมีกล่องเก็บฝุ่น และใน ดี 60 ก็พัฒนาให้มีระบบเป่า
ในกล้องรุ่นที่ทดสอบ พบว่า ระบบเขย่าเป่าฝุ่นตอนเปิดกล้อง ไม่ทำให้ประสิทธิ ภาพการใช้งานถ่ายภาพลดลง ยังสามารถ เปิดปุ๊บถ่ายปั๊บได้ทันที
คุณสมบัติโดดเด่นอันดับถัดมา เป็น Active D-Lighting ซึ่งเป็น ระบบใหม่ล่าสุดที่มีใน Nikon D60 ที่จะแสดงภาพที่ถ่ายย้อนแสงและที่แก้ไขแล้วให้เห็นทันทีขณะถ่ายภาพ โดยจะคำนวณส่วนสว่างและส่วนมืดของภาพโดยอัตโนมัติช่วยคำนวณค่าการเปิดรับแสง ให้เหมาะสมเพื่อเก็บรายละเอียด และแสงเงาทั้งส่วนมืดและส่วนสว่างของภาพได้อย่างครบถ้วน
ระบบนี้ยกเอามาจากกล้องโปร D3
มีเมนูรีทัช ให้แต่งภาพที่มีตัวเลือกใหม่ ๆ ในการปรับแก้ไขภาพในตัวกล้องอัดไว้มากมาย เช่น Filter Effects ปรับแก้สีภาพ (แดง/เขียว/น้ำเงิน) หรือจะเลือกฟิลเตอร์ Cross Screen สร้างประกายแฉกดาวที่จุดสว่างของภาพ มีเมนูแปลงไฟล์ NEF (RAW) ในตัวกล้อง ให้สามารถกำหนดระดับคุณภาพของภาพ ขนาดภาพ และ White Balance ฟังก์ชัน Stop- motion สร้างภาพ แอนิเมชั่นจากภาพนิ่ง JPEG ที่ถ่ายต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีเมนู Quick Retouch สำหรับปรับแต่งคอนทราสต์ ความอิ่มตัวสี ที่ใช้งานได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
ที่ใช้แล้วสนุกมาก คือฟังก์ชัน Stop motion หรือการสร้างภาพถ่ายให้เป็นภาพเคลื่อนไหวแบบการ์ตูน เช่นถ่ายวัตถุที่ตั้งอยู่เฉย ๆ ให้แสดงเป็นภาพหมุนรอบตัวหรือเคลื่อนไหวได้ เหมาะที่จะนำไปใช้กับการนำเสนองานต่าง ๆ ให้ดูมีลูกเล่นแปลกใหม่ได้อย่างง่าย ๆ
มีระบบพิมพ์วันที่ เวลา และจำนวนนับ ลงบนตัวภาพ ซึ่งเป็นรายแรกในโลกที่มีในกล้องแบบดีเอสแอลอาร์ แต่ที่วิเศษกว่าระบบพิมพ์ภาพที่มีในกล้องคอมแพ็กบางรุ่น ก็ตรงวันที่ที่พิมพ์จะตกลงมาอยู่มุมล่างขวาเสมอ แม้จะยกกล้องตั้งขึ้นทั้งด้านซ้ายและขวา
ยังมีเทคนิคที่เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงถึงความเข้าใจผู้ใช้กล้องอย่างลึกซึ้ง เช่นระบบ rage finder ที่มีลูกศรขนาดเล็กบอกทิศทางและระยะการหมุนเลนส์ระบบแมนนวลเพื่อหาความชัด ได้เร็วขึ้น
กล้องนิคอนดี 60 วางจำหน่ายพร้อมเลนส์ VR ชุดคิด ขนาด 18-55 มม.

Pentax Optio A40


กล้องดิจิทัลคอมแพคท์ รุ่นใหม่ล่าสุดในซีรีส์ A ที่เติมเต็มด้วยความละเอียดที่มากถึง 12 ล้านพิกเซล ซึ่งนับว่าเป็นกล้องที่
ให้ ความละเอียดที่สุดของ Pentaxด้วยเซ็นเซอร์ CCD 1/1.7 นิ้วทำให้มีพื้นที่รับแสงเพิ่มมากขึ้น พร้อม ด้วยเลนส์ SMC ซึ่งเป็นเลนส์เฉพาะของPentax ให้ภาพที่มีคุณภาพและความชัดเจนสูงสุด (Ultra high definitionimages) พร้อมบันทึกภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบไฟล์ AVI (DivX MPEG-4) บันทึกภาพได้ 30 เฟรมใน 1 นาที ที่ขนาด640x480 พิกเซล (คุณภาพทัดเทียมกล้องวิดีโอขนาดเล็ก)

เลนส์ออปติคอลซูม 3 เท่า ดิจิทัลซูม 6 เท่า (สามารถซูมได้สูงสุดถึง 17.9เท่า) ช่วยให้ขยายภาพครอบคลุมพื้นที่ใน การถ่ายภาพเทียบเท่าเลนส์ 37-111 มม.ในเลนส์ขนาด 35 มม. พร้อมโหมดSuper Macro ระยะโฟกัส 6-15 ซม.(ระยะโฟกัสโหมดปกติเริ่มที่ 35 ซม.โหมด Macro Wide อยู่ระหว่าง 12-40ซม.) รูรับแสง f/2.8-5.4

หน้าจอ TFT LCD 2.5 นิ้ว ความละเอียด 232,000 พิกเซล ความคมชัดสูงพร้อมฟังก์ชันปรับความสว่างของหน้าจอ ให้สามารถเห็นได้ง่ายขึ้นในสภาพแสงสว่างมากๆ แสดงรายละเอียดภาพได้ อย่างชัดเจน ให้สีสันที่เหมือนจริง

เติมเต็มด้วยฟังก์ชันเสริมอีกมาก มาย ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน Anti-Shake 3 ระบบ ประกอบด้วย ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Shake Reduction)ระบบพิเศษเฉพาะของ Pentax ด้วย Gyro Sensor ที่มีความแม่นยำสูง เทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้คำนวณการสั่นไหว ในกล้องดิจิทัล SLR เมื่อเกิดการสั่นไหว โดยตรงที่ตัวกล้องขณะถ่ายภาพ CCD จะเคลื่อนที่ขนานไปตามแนวนอนและ แนวตั้ง สัมพันธ์กับระดับการสั่นไหว พร้อมกันนี้เมื่อถ่ายภาพ CCD จะ ประมวลผลมายังจอแสดงภาพ และระบบ จะทำการแก้ไขผลลัพธ์ภาพไปที่ Shutter speeds 2.5 ถึง 3.5 สต็อป (โดยประมาณ)

ระบบ ลดความเบลอของภาพ (Digital Shake Reduction) เป็นระบบ ลดความเบลอของภาพขณะจับภาพ อัตโนมัติ โดยปรับปรุงความไวแสงได้ อัตโนมัติสูงสุดถึง ISO 3200 ให้รูปที่ออก มาสว่างกลมกลืนกันตลอดทั้งภาพ เหมือนจริงเป็นธรรมชาติ ทำให้ภาพที่ ออกมาคมชัด

ระบบป้องกันภาพสั่น ไหวในภาพ เคลื่อนไหว (Movie Shake Reduction) ด้วยระบบ Shake Reduction ที่สามารถ จับภาพเคลื่อนไหวให้นิ่งขึ้นและชัดเจนขึ้น กว่าปกติ แม้ว่ากล้องจะเคลื่อนที่ขณะ ถ่ายภาพ

สำหรับช่างภาพมือใหม่ A40 ตัวนี้มี ระบบโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ Face Recognition AF&AE ติดตั้งมาให้ด้วย
ซึ่งสามารถจับภาพใบหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกล หรืออยู่ส่วนไหนของ ภาพ โดยควบคุมแสงให้ใบหน้าสว่าง
สวย งามยิ่งขึ้น และยังเพิ่มฟังก์ชันใน ระบบโฟกัสใบหน้า คือโหมดสีผิว ธรรมชาติ (Natural Skin Tone) ที่จะ ทำให้สีผิวของคนเป็นธรรมชาติ สมจริงใน ทุกรายละเอียดมากขึ้น และโหมดถ่ายรูป ใกล้ (Half-length Portrait) เพื่อให้เห็น หน้าเต็มรูปอยู่ในกรอบ ให้การถ่ายภาพ กลายเป็นเรื่องง่ายดาย

Olympus E-620


E-620 เป็นกล้องระดับกลางของโอลิมปัส แต่มีฟังก์ชั่นการทำงานใกล้เคียงกับรุ่นโปร ตัวกล้องขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และมีฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ฟังก์ชั่น Art Filters เลือกใช้งานได้ 6 แบบ ทำให้สร้างสรรค์ภาพได้หลากหลาย อาทิ Pop art, Soft focus, Pale & light color, Light tone และ Grainy film เลือกตกแต่งภาพที่สวยงามได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาไปปรับแต่งภาพใน คอมพิวเตอร์อีก ทำให้ใช้งานกล้องได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น

เซ็นเซอร์ภาพที่ใช้เป็นแบบ High-speed Live MOS ฟอร์แมท 4:3 ความละเอียดสูงสุด 12.3 ล้านพิกเซล ประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผล TruePic III บันทึกภาพที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ให้ภาพมีความสว่างสดใสและมีสีสันที่ถูกต้องสวยงาม เก็บได้ครบทุกรายละเอียด โหมดถ่ายภาพมีให้ใช้งานครบครันทั้งโปรแกรมสำเร็จรูป Scene mode และโหมดที่ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนค่าการปรับตั้งต่างๆ ได้ เช่น โหมดโปรแกรม (P) โหมดออโต้ความเร็ว ชัตเตอร์ (A), โหมดออโต้รูรับแสง (S) และโหมดแมนนวล (M)

โหมด Live View ของ E-620 สามารถเลือกปรับออโต้โฟกัสได้ 3 แบบ คือ AF Sensor กล้องจะปิดม่านชัตเตอร์และลดกระจกสะท้อนภาพลง เพื่อปรับโฟกัส แบบที่สองคือ Image Focus กล้องจะโฟกัสโดยการหาคอนทราสต์จากเซ็นเซอร์ภาพ และแบบ Hybrid AF เป็นการรวมเอาการทำงานของการโฟกัสทั้งสองแบบเข้าไว้ด้วยกัน และสามารถปรับซูมภาพเพื่อเช็คความชัดได้ 5 และ 10 เท่า

จุดโฟกัสมี 7 จุด พร้อมจุดโฟกัสแบบกากบาท 5 จุดตรงกลาง ช่วยให้การโฟกัสทำได้ ช่วยให้จับโฟกัสได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น สำหรับความไวแสงปรับได้แบบออโต้ ซึ่งกล้องจะเลือกให้ตามความเหมาะสมของสภาพแสง และปรับตั้งเองตั้งแต่ ISO100-3200 ส่วนไวท์บาลานซ์ปรับได้ทั้งแบบออโต้ ปรับแบบพรีเซ็ท ปรับตามองศาเคลวินได้ตั้งแต่ 2000-14000 องศาเคลวิน และปรับตามสภาพแสงได้ 8 แบบ ซึ่งความพิเศษของโอลิมปัสคือ แต่ละแบบยังสามารถปรับชิฟท์ได้อีก +/-7 ขั้น

Olympus E-620 มีแฟลชป๊อบอัพในตัวไกด์นัมเบอร์ 12 ที่ ISO100 พร้อมโหมดการทำงานหลายอย่าง อาทิ แฟลช Auto แฟลชแก้ตาแดง แฟลชสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์ต่ำและแก้ตาแดงอัตโนมัติ แฟลชสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์ต่ำและม่านชัตเตอร์ชุดแรก แฟลชสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์ต่ำและม่านชัตเตอร์ชุดที่สอง และสามารถปรับชดเชยแสงแฟลชได้ +/- 3EV

จอมอนิเตอร์เป็น แบบ HyperCrystal III TFT LCD มีขนาด 2.7 นิ้ว ปรับหมุนได้รอบเช่นเดียวกับรุ่น E-30 และ E-3 ช่วยเพิ่มความสะดวกในการถ่ายภาพในมุมที่ไม่สามารถเข้าไปยืนถ่ายได้ หรือถ่ายภาพในมุมสูงและมุมต่ำกว่าปกติ E620 จัดเก็บภาพถ่ายด้วยเมมโมรี่การ์ดคือ Compact Flash และ xD Picture Card โดยมีช่องสำหรับใส่เมมโมรี่การ์ดได้พร้อมกันทั้ง 2 ช่อง สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อาทิ แบตเตอรี่กริป HLD-5 สามารถใช้แบตเตอรี่ BLS-1 ได้ 2 ก้อน ช่วยให้ถ่ายภาพแนวตั้งได้สะดวกมากขึ้น และถ่ายภาพได้นานขึ้นด้วย รวมทั้งเฮาส์ซิ่งสำหรับถ่ายภาพใต้น้ำ PT-E06 นอกจากนี้ยังมีแฟลชเฉพาะกิจรุ่นต่างๆ เช่น FL-20, FL-50, FL36, FL-36R และ FL-50R ซึ่งในรุ่น 36R และ 50R รองรับการใช้งานในระบบ wireless ด้วย ตัวกล้องมีขนาด 130 x 94 x 60 มม. น้ำหนัก 475 กรัม

Sony A900


Sony A900 เป็นกล้องในระดับมืออาชีพที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพใหม่แบบ CMOS Exmor ขนาด 35.9 x 24.0 มม. หรือเท่ากับฟิล์ม 35 มม. มีความละเอียดสูงถึง 24.6 ล้านพิกเซล ประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผลภาพใหม่แบบคู่ Dual BIONZ processors ทำให้การทำงานต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 24.6 ล้านพิกเซล ก็ยังถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็วถึง 5 เฟรม/วินาที และยังให้ภาพที่มี Noise ต่ำ แม้ว่าจะใช้ความไวแสงสูง โดยสามารถปรับความไวแสงได้ถึง ISO 6400 ช่วยให้ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องหรือแฟลช

จุดที่โดดเด่นคือ มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot อยู่ในตัวกล้อง ทำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้ต่ำกว่าปกติ 2.5 - 5 สตอป โดยใช้ได้กับเลนส์ทุกตัวไม่ว่าจะเป็นเลนส์ของ Sony, เลนส์ Konica-Minolta หรือเลนส์ Carl Ziess และถึงแม้จะเป็นกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ภาพแบบเต็มเฟรม แต่ยังสามารถใช้งานกับเลนส์ DT ซึ่งเป็นเลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้องดิจิตอลที่ใช้ เซ็นเซอร์ภาพแบบ APS-C ได้ โดยความละเอียดสูงสุดจะลดลงเป็น 11 ล้านพิกเซล

A900 สามารถปรับแต่งค่า Dynamic Range Optimizer (DRO) เพื่อเพิ่มความสว่างในส่วนมืด โดยเลือกปรับได้มากถึง 5 ระดับเพื่อให้เหมาะสมกับภาพถ่ายในแต่ละภาพ ทำให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดครบถ้วนทั้งในส่วนสว่างและส่วนมืด การปรับตั้งเมนูการทำงานต่างๆ ของกล้อง สามารถทำได้อย่างสะดวก โดยกล้องจะโชว์รายละเอียดการทำงานต่างๆ ที่จอมอนิเตอร์ ซึ่งเรียกว่า Quick Navi Screen และใช้จอยสติ๊กในการปรับตั้ง ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับตั้งค่าต่างๆ ของกล้องได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น

โหมดถ่ายภาพปรับเลือกได้ ด้วยแป้นหมุน มีเพียงโหมดออโต้ โหมดโปรมแกรม (P) โหมดออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (A) โหมดออโต้รูรับแสง (S) และโหมดแมนนวล (M) เท่านั้น ฟังก์ชั่นใหม่ คือ Intelligent Preview มีมาให้ใช้งานแทน Live View โดยเป็นการพรีวิวภาพที่ต้องการถ่ายและผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนค่าที่ตั้งไว้ เช่น การชดเชยแสง หรือไวท์บาลานซ์ที่ปรับตั้งไว้เดิม และดูผลความเปลี่ยนแปลงได้จากจอมอนิเตอร์ ก่อนที่จะถ่ายภาพจริงๆ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดในการถ่ายภาพลงไปได้ ฟังก์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ Creative styles ซึ่งสามารถปรับแต่งรูปแบบการบันทึกภาพได้มากถึง 13 แบบ เพื่อให้ได้ภาพที่มีโทนสี คอนทราสต์ และความอิ่มตัวของสีที่แตกต่างกัน

บอดี้ของ A900 ทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์ มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงทนทาน ซีลป้องกันความชื้น ป้องกันฝุ่นละออง ทำให้ใช้งานได้ได้ดีทุกสภาวะอากาศ ช่องมองภาพออกแบบใหม่ให้ความสว่างสูง มีอัตราขยาย 0.74 เท่า มองเห็นภาพได้ชัดเจน จัดองค์ประกอบภาพได้สะดวกและง่ายดาย และใช้เลนส์คอนเดนเซอร์ที่มีกำลังขยายสูง เลนส์ตาเคลือบผิวแบบหลายชั้น ช่วยลดแสงสะท้อน และถอดเปลี่ยนจอรับภาพได้เพื่อความเหมาะสมในการใช้งาน

จอมอนิเตอร์ LCD ขนาด 3.0 นิ้วใหม่ ความละเอียด 921,000 พิกเซล มองดูภาพได้อย่างชัดเจนทั้งในที่มืดและสภาพแสงกลางแจ้ง การเชื่อมต่อภายนอก มีช่องต่อ HDMI output ในโหมด Photo TV HD เพื่อเปิดชมภาพจากโทรทัศน์ HD TV ด้วยคุณภาพสูงสุด การจัดเก็บภาพถ่ายออกแบบให้มีช่องเมมโมรี่การ์ด 2 ช่อง สามารถใช้งาน Compact Flash และ Memory Stick Duo ได้พร้อมกัน ตัวกล้องมีขนาด 156.3 x 116.9 x 81.9 มม. น้ำหนัก 850 กรัม

Canon EOS 500D


กล้องดิจิตอล SLR รุ่นล่าสุดจากแคนนอน พัฒนาต่อเนื่องจากรุ่น 450D ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพิ่มความละเอียดให้สูงขึ้นเป็น 15.1 ล้านพิกเซล ประมวลผลการทำงานด้วยหน่วยประมวลผล DIGIC4 ใหม่ มีการทำงานที่รวดเร็วมากขึ้น แสดงสีได้ 14 บิต ทำให้มีช่วงไดนามิกเร้นจ์กว้าง บันทึกรายละเอียดของโทนภาพได้อย่างสมบูรณ์ ให้ภาพที่คมชัด และสมจริง ฟังก์ชั่นที่โดดเด่นคือ บันทึกวิดีโอได้ด้วยคุณภาพ Full HD 1080P และฟังก์ชั่น Live View ที่เพิ่มเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า Face Detection เข้ามานอกเหนือจากฟังก์ชั่น Quick Mode และ Live Mode เดิม

โหมดถ่ายภาพยังมีให้ใช้ งานได้ครบทั้งโหมดออโต้ โปรแกรมสำเร็จรูป โปรแกรม (P) ออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (AV) ออโต้รูรับแสง (TV) และแมนนวล (M) นอกจากนี้ยังมีโหมด Creative Auto หรือ CA ซึ่งสามารถปรับเพิ่มหรือลดแสง เปลี่ยนพิกเจอร์สไตล์ และเปลี่ยนขนาดของภาพได้ ต่างจากโหมดออโต้ทั่วๆ ไป ที่กล้องตั้งให้ทั้งหมด แป้นปรับโหมดถ่ายภาพได้เพิ่มโหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหวเข้ามา ซึ่งสามารถบันทึกได้ด้วยคุณภาพสูงสุดแบบ Full HD และยังลดคุณภาพของไฟล์ได้อีก 2 ขนาดคือ HD และ SD ได้ รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อกับโทรทัศน์ระบบ HDTV ได้ด้วย HDMI เพื่อชมภาพและเสียงได้อย่างสมบูรณ์

Canon EOS 500D ปรับตั้งความไวแสงได้สูงสุด ISO12800 ช่วยให้ถ่ายด้วยแสงธรรมชาติในสภาพแสงน้อย หรือเมื่อต้องการหยุดจังหวะการเคลื่อนไหว จอมอนิเตอร์เป็นแบบ Clear View LCD ขนาด 3 นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 920,000 พิกเซล มองภาพได้ภาพเต็ม100% และมองได้อย่างชัดเจนแม้จากมุมกว้าง 170 องศา ผิวหน้าจอมอนิเตอร์ได้รับการเคลือบแบบหลายชั้น เพื่อป้องกันแสงสะท้อน ช่วยแก้ปัญหาเมื่อต้องถ่ายภาพและดูภาพกลางแจ้งที่มีแสงสว่างมากๆ และป้องกันรอยขีดข่วนต่างๆ ด้วย

ในรุ่นนี้ยังคงใช้ระบบ กำจัดฝุ่นที่เซ็นเซอร์ภาพ ซึ่งเลือกให้ทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อเปิดสวิทช์ หรือเลือกทำความสะอาดด้วยตัวเองได้ ฟังก์ชั่นที่โดดเด่นอื่นๆ เช่น Active Delighting ช่วยชดเชยแสงในส่วนมืดให้ยังคงรายละเอียดที่ครบถ้วน ฟังก์ชั่นปรับแก้ความบิดเบือนของภาพ บันทึกภาพด้วย SD และ SDHC card แหล่งพลังงานได้จาก แบตเตอรี่ Li-Ion LP-E5 สามารถใช้งานร่วมกับแบตเตอรี่กริปรุ่น BP-E5 ซึ่งใส่แบตเตอรี่ได้ 2 ก้อน ช่วยให้ถ่ายภาพได้นานขึ้น ตัวกล้องมีขนาด 129 x 98 x 62 มม. น้ำหนัก 480 กรัม

Nikon COOLPIX P6000


กล้องดิจิตอลคอมแพคระดับไฮเอนด์ พัฒนาต่อจากรุ่น P5100 เดิม เพิ่มความละเอียดเป็น 13.5 ล้านพิกเซล ประมวลผลการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วด้วยหน่วยประมวลผล EXPEED ภาพที่ได้ดูใสเคลียร์ และสีสันที่ถูกต้องตามจริง จุดที่โดดเด่นกว่ากล้องคอมแพคอื่นๆ คือสามารถบันทึกภาพได้ด้วยฟอร์แมท RAW หรือนิคอนเรียกเป็น NRW เหมือนกับกล้อง SLR โดยบันทึกเป็นไฟล์ดิบที่ไม่มีการ Process เหมาะสำหรับช่างภาพมืออาชีพที่ต้องการปรับแต่งหรือแก้ไขค่าการถ่ายภาพบางค่า จากตอนที่ถ่ายภาพในภายหลัง และยังบันทึกเป็นไฟล์ NRW+JPEG ได้ด้วย

โหมดถ่ายภาพควบคุมด้วยแป้นหมุนบนตัวกล้อง ซึ่งใช้งานได้คล่องตัวพอๆ กับกล้องดิจิตอล SLR โดยมีโหมดถ่ายภาพให้ใช้งานครบทุกระดับ เช่น โหมด Program (P) โหมดออโต้รูรับแสง (S) โหมดออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (A) และโหมดแมนนวล (M) นอกจากนี้ยังมีโหมดออโต้และ Scene Mode ที่สามารถเลือกรูปแบบภาพอัตโนมัติได้หลายแบบ อาทิ Portrait Landscape Sport Sunset Close-up หรือ Party เป็นต้น รวมทั้งยังมีฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงามและง่ายมากขึ้น เช่น ฟังก์ชั่น Face-priority AF โดยกล้องจะทำการค้นหาใบหน้าพร้อมกับปรับโฟกัสและคำนวณค่าการรับแสง ช่วยให้ถ่ายภาพบุคคลได้อย่างคมชัดและสวยงาม จุดที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีช่องเชื่อมต่อสาย LAN และมีระบบ GPS ที่สามารถบันทึกพิกัดที่ถ่ายภาพ ทำให้ทราบว่าถ่ายภาพนั้นถ่ายจากที่ใดโดยดูเปรียบเทียบกับพิกัดของแผนที่โลก และยังสามารถส่งภาพโปรดผ่านระบบไร้สายหรือใช้สาย LAN ไปเก็บไว้ยังเว็บไซต์ My Picturetown ให้เพื่อนๆ ได้ชมอย่างง่ายดายและรวดเร็ว แม้จะอยู่กันคนละซีกโลกก็ตาม

ตัวกล้องใช้เลนส์ออพติคอลซูม 4 เท่า ความยาว 28-112 มม. แสดงข้อมูลและภาพด้วยจอมอนิเตอร์ขนาด 2.7 นิ้ว ที่ได้รับการเคลือบผิวช่วยลดแสงสะท้อน ทำให้ดูภาพได้อย่างชัดเจนแม้จะถ่ายภาพอยู่กลางแจ้งก็ตาม โครงสร้างตัวกล้องผลิตจากโลหะแมกนีเซียมอัลลอยด์ ให้ความแข็งแรงทนทานเช่นเดียวกับกล้อง D-SLR ระดับมืออาชีพ การออกแบบยังคงคล้ายๆ กับรุ่น P5100 การจับถือกล้องกระชับมือดีมาก เพราะออกแบบส่วนของกริปให้เป็นร่อง และหุ้มด้วยยางเพื่อกันลื่น ซึ่งไม่เพียงแต่จับได้กระชับมือเท่านั้น การเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพ และการควบคุมการทำงานด้วยแป้น Control Dial ยังทำได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ด้านบนตัวกล้องออกแบบเป็นฮอทชูให้ใช้แฟลชเสริม นอกเหนือจากแฟลชป๊อบอัพได้ ตัวกล้องมีขนาด 107 x 66 x 43 มม. และน้ำหนัก 240 กรัม

Panasonic Lumix DMC-FX48


กล้องคอมแพครุ่นใหม่จากพานาโซนิค ตัวกล้องมีขนาดเล็ก กะทัดรัด และน้ำหนักเบา มีความละเอียดสูงถึง 12.1 ล้านพิกเซล โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นถ่ายภาพอัจฉริยะ ที่พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น ให้ไฟล์ภาพคุณภาพดีเยี่ยม และมีการทำงานที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม 2.4 เท่า จากประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผล Venus Engine V ใหม่ บันทึกภาพด้วยเลนส์คุณภาพสูงระดับโปร LEICA DC VARIO-ELMARIT ทางยาวโฟกัส 25-125 มม.

โหมดถ่ายภาพเลือกใช้งานด้วยแป้นปรับโหมดที่ตัวกล้องเลือกใช้งานในโหมดออโต้ Scene Mode โหมดถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือโหมดอัจฉริยะ iA ที่ผู้ใช้เพียงแค่ยกกล้องขึ้นเล็งแล้วกดชัตเตอร์เท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเลือกใช้งานในโหมด iA หรือ Intelligent Auto ซึ่งโหมดนี้เป็นการผสมผสานโหมดถ่ายภาพที่โดดเด่นแบบต่างๆ 6 แบบเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ระบบโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection AE/AF) ระบบเลือกรูปแบบถ่ายภาพอัตโนมัติ (Scene Detection) ระบบลดการสั่นไหวอัตโนมัติ (Mega O.I.S.) ระบบปรับความไวแสงอัตโนมัติ (Motion Detection) ระบบปรับค่าแสงอัตโนมัติ (Light detection) และระบบใหม่ Subject Detection โฟกัสติดตามการเคลื่อนไหวของซับเจคอัตโนมัติ ทำให้มั่นใจว่าได้ภาพที่คมชัดและสวยงามอย่างง่ายดาย

พานาโซนิค FX48 บันทึกได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว โดยมีขนาดภาพนิ่งใหญ่สุด 4000 x 3000 พิกเซล ปรับลดได้จนถึงขนาดเล็กสุด 640 x 480 พิกเซล พร้อมทั้งบันทึกด้วยขนาดไฟล์ 1920 x 1080 พิกเซล ในฟอร์แมท 16: 9 เพื่อเปิดชมภาพจากโทรทัศน์แบบ HDTV ได้เต็มคุณภาพ ส่วนภาพเคลื่อนไหว บันทึกด้วยความละเอียดแบบ HD ขนาดไฟล์ใหญ่สุด 1280 x 720 พิกเซลที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที และปรับลดจนเหลือขนาดเล็กสุด 320 x 240 พิกเซลที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาทีเช่นเดียวกัน สำหรับการใช้งานบางอย่าง เช่น ในเว็บไซต์ เป็นต้น

พานาโซนิค FX48 ปรับตั้งความไวแสงได้ทั้งแบบออโต้ หรือผู้ใช้ปรับเองตั้งแต่ ISO80-1600 หรือจะปรับเลือกแบบปรับความไวแสงอัจฉริยะ Intelligent ISO กำหนดความไวแสงสูงสุดที่จะให้กล้องปรับให้ที่ ISO400, 800 และ 1600

ตัวบอดี้มีขนาดเล็กมาก ซึ่งข้อดีก็คือไม่เป็นภาระในการพกพา เมื่อเปิดสวิทช์การทำงาน ตัวเลนส์ที่แบ่งเป็นสองชั้นจะยืดออกมา ตัวเลนส์ชิ้นในสุดจะปรับหมุนเมื่อผู้ใช้ปรับซูมภาพ ส่วนตัวเลนส์ชิ้นหน้าจะยืดเข้า ยืดออกตามระยะซูมเท่านั้น และกล้องก็พร้อมใช้งานในทันที

ด้านหลังของตัวกล้องเป็นจอมอนิเตอร์ขนาด 2.5 นิ้ว ความละเอียด 230,000 พิกเซล แบบมุมกว้าง มองเห็นภาพได้เต็ม 100% ปุ่ม Q Menu เป็นคีย์ลัดสำหรับปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานในโหมดถ่ายภาพ โดยเมื่อผู้ใช้กดปุ่มนี้ ข้อมูลการปรับตั้งของเมนูต่างๆ จะขึ้นโชว์ที่จอมอนิเตอร์

เมนูที่น่าสนใจของรุ่นนี้อีกหนึ่งเมนูคือ ระบบจดจำใบหน้า ซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกใบหน้าของบุคคลพิเศษให้กล้องจดจำไว้ และเมื่อมีใบหน้าที่กล้องบันทึกไว้อยู่ในเฟรมภาพ กล้องจะเน้นการปรับโฟกัสและการวัดแสงไปที่ใบหน้านั้นๆ พร้อมกับโชว์ชื่อของเจ้าของใบหน้าให้เห็นที่จอมอนิเตอร์

Sony A380 ตัวกล้องดิจิตอล SLR ใหม่ล่าสุด



โซนี่ เปิดตัวกล้องดิจิตอล SLR ใหม่ ใช้ชื่อรุ่นว่า A380 ตัวกล้องมีความละเอียด 14.2 ล้านพิกเซล ตัวบอดี้ได้รับการออกแบบใหม่ และมีประสิทธิภาพการทำงานที่รองรับการใช้งานตั้งแต่มือสมัครเล่นไปจนถึง ระดับมืออาชีพ โดยมีจุดที่โดดเด่นคือ จอมอนิเตอร์ที่ปรับระดับได้ ช่วยให้ถ่ายภาพในมุมมองที่แตกต่างได้สะดวกมากขึ้น ระบบป้องกันการสั่นไหว SteadyShot ที่ช่วยให้ถ่ายภาพโดยไม่ใช้แฟลชและขาตั้งกล้องที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า ปกติ และฟังก์ชั่น D-Range Optimizer ช่วยเพิ่มรายละเอียดในส่วนมืด ทำให้ภาพมีความสมบูรณ์มากขึ้น
โซนี่ A380 ใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ CCD ขนาด APS-C 23.5 x 15.7 มม. ใช้หน่วยประมวลผล BIONZ ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูง มีการทำงานที่รวดเร็ว และเก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน โหมดถ่ายภาพมีให้เลือกใช้งานได้ครอบคลุมทั้งระดับมือใหม่ เช่น โหมดออโต้ และโหมดโปรแกรมสำเร็จรูป 7 แบบ ซึ่งกล้องจะคำนวณทุกอย่างให้โดยอัตโนมัติ หรือโหมดสำหรับมืออาชีพที่มีความชำนาญในการใช้กล้องมากขึ้น เช่น โหมด Program (P) โหมดออโต้รูรับแสง (S) โหมดออโต้ความเร็วชัตเตอร์ (A) และโหมดแมนนวล (M)
โหมด Live View ได้รับการพัฒนาระบบโฟกัสให้รวดเร็วด้วยเทคโนโลยี Quick AF Live View ซึ่งผู้ใช้สามารถมองภาพผ่านจอมอนิเตอร์ได้ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีปัญหาช่องมองภาพมืดเมื่อทำการโฟกัสภาพ นอกจากนี้ยังสามารถโฟกัสติดตามวัตถุแบบต่อเนื่องอัตโนมัติได้ตลอด ฟังก์ชั่น D-Range Optimizer ช่วยเพิ่มไดนามิกเรนจ์ของกล้องให้กว้างขึ้น ซึ่งทำให้เก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างครบถ้วน โดยฟังก์ชั่นนี้จะช่วยปรับเพิ่มความสว่างในโทนมืด แต่ยังคงรายละเอียดไว้ ทำให้ได้ภาพที่มีการไล่โทนอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับภาพถ่ายที่มีความเปรียบต่างของภาพมาก
ฟังก์ ชั่นที่โดดเด่นของโซนี่ A380 คือระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot ซึ่งเป็นระบบที่มีใช้งานในกล้องโซนี่ทุกรุ่น ช่วยให้ถ่ายภาพได้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่าปกติ 2.5-4 สตอป โดยระบบ SteadyShot สามารถใช้งานได้กับเลนส์ตระกูล Alpha เลนส์ KonicaMinolta และเลนส์ Carl Zeiss ได้ทุกรุ่น นอกจากนี้ โซนี่ A380 ยังมีโหมดสำหรับสร้างสรรค์ภาพแบบต่างๆ ได้ด้วย Creative Style ซึ่งสามารถปรับแต่งรูปแบบของภาพได้ตามลักษณะของภาพที่ต้องการ เช่น Standard, Vivid, Portrait, Landscape, Night view, Sunset และ Black & White ซึ่งในแต่ละแบบยังสามารถปรับเพิ่มหรือลดคอนทราสต์ ความคมชัด และความอิ่มตัวของสีสันได้อีก +/- 3 ขั้น
ด้านไวท์บาลานซ์สามารถปรับเลือกการทำงานได้แบบออโต้ หรือปรับเลือกตามสภาพแสงได้ 7 แบบ คือ Daylight, Shade, Cloudy, Tungsten, Fluorescent, Flash โดยสามารถปรับแบบละเอียดได้อีก +/-3 ขั้น นอกจากนี้ ยังตั้งแบบ Preset ได้อีก และเมื่อปรับไวท์บาลานซ์ในขณะที่ใช้ Live View กล้องจะพรีวิวภาพให้เห็นผลของการปรับไวท์บาลานซ์แบบต่างๆ และเมื่อปรับวัดแสง Over หรือ Under กล้องก็จะแสดงผลให้เห็น ซึ่งสะดวกในการใช้งานและลดความผิดพลาดลงไปได้มากเช่นกัน

ตัว บอดี้ของโซนี่ A380 ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด กริปมือจับด้านหน้าหุ้มยางกันลื่นและออกแบบให้ยาวนูนออกมาพอสมควร ช่วยให้จับกล้องได้อย่างกระชับมั่นคงขึ้น เหนือกริปขึ้นไปเล็กน้อยเป็นแป้น Control Dial ซึ่งเป็นแป้นหลักสำหรับปรับควบคุมการทำงานของกล้อง และใช้ปรับความเร็วชัตเตอร์หรือรูรับแสง ซึ่งเมื่อถ่ายภาพในโหมดแมนนวล หรือโหมด M การปรับขนาดรูรับแสง จะต้องกดปุ่มชดเชยแสง (+/-) ซึ่งอยู่เยื้องๆ ไฟด้านหลังกล้องค้างไว้ด้วย
บนตัวกล้องติดกับหัวกะโหลก เป็นสวิทช์ปรับเลือกการทำงานระบบ Live view ใกล้ๆ กันเป็นปุ่ม Smart Teleconverter ใช้สำหรับปรับซูมภาพแบบดิจิตอลเมื่อใช้ระบบ Live View ด้านหลังเป็นจอมอนิเตอร์ขนาด 2.7 นิ้ว ที่สามารถปรับ ก้มเงยได้หลายระดับ ซึ่งสะดวกสำหรับการถ่าย ภาพในมุมสูง หรือมุมต่ำ เหนือจอมอนิเตอร์เป็นช่องวิวไฟน์เดอร์แบบ Penta-Dach-Mirror กำลังขยาย 0.74 เท่า มองเห็นภาพได้ 95% พร้อมเซ็นเซอร์ระบบ Eye Start

โซ นี่ A380 ไม่มีจอ LCD สำหรับแสดงข้อมูล จึงใช้การแสดงผลที่จอมอนิเตอร์แทน ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก การแสดงผลมีให้เลือกใช้งานได้ 2 แบบ แบบแท่งกราฟออกแบบให้เข้าใจได้ไม่ยากและใช้งานได้ง่ายๆ เช่น เมื่อเลื่อนแถบไปด้านซ้ายของแท่งกราฟขนาดรูรับแสง ฉากหลังจะเบลอจากขนาดรูรับแสงกว้าง แต่ถ้าเลื่อนมาด้านขวาภาพจะชัดทั้งหมด เป็นต้น
ด้านหลังตัวกล้อง ยังมีที่ใช้ปรับตั้งค่าการทำงานโหมดถ่ายภาพ นั่นคือปุ่มฟังก์ชั่น (Fn) สำหรับเลือกโหมดออโต้โฟกัส, การเลือกพื้นที่โฟกัส, การเลือกระบบวัดแสง, การเลือกใช้งาน D-Range Optimizer, การเลือกไวท์บาลานซ์และ การเลือกรูปแบบ Creative Style โดยเมื่อกดปุ่ม Fn. เมนูการทำงานทั้ง 6 แบบจะโชว์ที่จอมอนิเตอร์ ปรับเลือกเมนูด้วยปุ่ม 4 ทิศทาง เลือกปรับตั้งด้วยปุ่ม AF เลือกค่าที่ต้องการด้วยปุ่มขึ้น-ลง และยืนยันค่าที่เลือกใช้ด้วยปุ่ม AF อีกครั้ง ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้รวดเร็วและสะดวกมากทีเดียว

โซ นี่ A380 เป็นกล้องที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และมีเลนส์ให้เลือกใช้งานมากมาย ทั้ง เลนส์ในตระกูลอัลฟ่า เลนส์ของ KonicaMinolta และเลนส์ Carl Ziess อีกหลายขนาด นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot ในตัว ซึ่งเปิดใช้งานได้ตลอดเวลา ช่วยให้บันทึกภาพด้วยแสงธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้แฟลชได้สะดวกขึ้น อีกหนึ่งในจุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ที่จอมอนิเตอร์ที่สามารถปรับระดับได้ ซึ่งใช้ในการสร้างสรรค์มุมภาพที่แตกต่างจากคนอื่น หรือเมื่อต้องถ่ายภาพในพื้นที่ที่ไม่เอื้ออำนวยกับการถือกล้องถ่ายในสภาพ ปกติได้มากมายทีเดียวครับ นอกจากนี้ระบบ Live View ของโซนี่ A380 ยังสามารถมองภาพได้ตลอดเวลา เพราะใช้เซ็นเซอร์ 2 ตัว แยกการทำงาน จึงสะดวกในการใช้ฟังก์ชั่นนี้กับการถือกล้องถ่ายภาพโดยไม่มีปัญหาเรื่องภาพ มืดไป
ชั่วขณะ เมื่อปรับโฟกัส

โซนี่ A380 มีอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้งานได้หลายอย่างทั้งเลนส์ขนาดต่างๆ และแฟลชเฉพาะกิจหลายรุ่น จึงทำให้เป็นกล้องที่เหมาะสำหรับเลือกใช้งาน ทั้งแบบจริงจัง หรือใช้บันทึกการเดินทางท่องเที่ยว และเหมาะสำหรับการใช้งานในทุกระดับด้วยครับ